องค์การบริหารส่วนตำบลต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ในการทำแผน
องค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งต่อไปจะเรียกสั้น ๆว่า ตำบล
ในบ้านเรา ตำบลเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดที่สามารถบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จได้ในตัวเอง ดังนั้น ถ้าตำบลจะมีจินตนาการว่าจะเนรมิตอะไรขึ้นในตำบล ก็มีความเป็นไปได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ
ตามปรกติ ตำบลมีการทำแผนพัฒนาตำบลกันอยู่แล้ว
ปัจจุบันแผนพัฒนาตำบล มีชื่อเรียกใหม่ว่า แผนแม่บทชุมชน
ทุกตำบลมีการทำแผนแม่บทชุมชน จากที่เคยมีส่วนร่วมในการทำแผนแม่บทชุมชน และติดตามอ่านจากแหล่งต่าง ๆ เห็นว่าแผนแม่บทชุมชนส่วนใหญ่ เป็นการคิดในฐานะที่ตำบลเป็นส่วนย่อยของ อำเภอ จังหวัด และประเทศ และเป็นความคิดที่มองออกไปในระยะสั้น มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เน้นการอิงอยู่กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหลัก
ผมอยากเสนอให้มองว่า ตำบลเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า อำเภอ จังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เป็นต้น โดยเฉพาะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำแผนในตำบล ต้องมีสำนึกว่าตำบลมีฐานะ ตำแหน่ง ในความสัมพันธ์กับหน่วยอื่น ๆ ในระดับประเทศแบบนี้
การมองตำบลแบบนี้ จะช่วยให้ตำบลสามารถ คิดเนรมิตตำบลตามสภาพจำเพาะของตนเองได้มากขึ้น พูดง่าย ๆก็คือ เราอยากให้ตำบลของเราเติบโตไปเป็นแบบใด อย่างไร ก็คิดไป แน่นอนว่า ความเป็นอยู่ และความเป็นไปของตำบลต้องคำนึงถึง ความเป็นอยู่และความเป็นไปของ อำเภอ จังหวัด ประเทศ และอื่น ๆด้วย แต่ท่าทีที่ตำบลมีต่อสภาพภายนอกเป็นแบบที่ตำบลเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่ตำบลถูกกำหนด ตำบลอาจมุ่งพัฒนาตำบลของตนอย่างแปลกแยกไปจากแผนของประเทศก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า สวนทางกับระบอบการเมืองการปกครอง หรือ นโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ สิ่งที่แปลกแยกออกไปหมายถึงด้านเศรษฐกิจ และสังคม ที่ไม่ใช่ด้านการเมืองและการปกครอง
แผนของตำบลควรมีแผนระยะยาวที่มองตำบลไปไกลขนาด 20-30 ปี ตำบลน่าจะเป็นชุมชนที่มีความสามารถในการบริหารจัดการเพื่อคุณภาพชีวิตของสมาชิกในชุมชนอย่างเบ็ดเสร็จได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง กิน อยู่ หลับ นอน หรือเรื่องใด ๆในวิถีที่คนต้องอยู่ร่วมกัน สามารถที่จะดูแลแก้ไขกันได้ในระดับตำบล
แผนตำบลที่ว่านี้เป็นภาพวาดที่คนในตำบลมองไปข้างหน้า ทุกคนจะเห็นภาพของตำบลตนชัดเจนตรงกัน หน้าที่ของผู้บริหารตำบลก็คือ การสร้างแรงบันดาลใจให้แก่สมาชิก เพื่อให้สมาชิกต่างทุ่มเทพลังของตนเพื่อบรรลุความฝันนั้น เชื่อว่า ถ้าตำบลทำได้แบบนี้ชีวิตในชุมชนจะมีความตื่นต้ว คนในชุมชนจะมองเห็นคุณค่าของตนที่มีต่อชุมชนที่เขาอาศัยอยู่มากขึ้น และนี่คือพลังสามัคคีที่มีเหตุมีผล ไม่ใช่พลังสามัคคีแบบงมงาย เมื่อไม่มีคนลากคนจูงก็หดหาย
ในแต่ละปี ในแต่ละ 3 ปี ในแต่ละ 5 ปี ชุมชนก็พัฒนาแผนย่อย ๆขึ้นเพื่อสร้าง เสริม เติม ต่อ ให้ภาพรวมที่กำหนดไว้เป็นจริง สิ่งต่าง ๆก็จะค่อย ๆเกิดขึ้นตามลำดับ อย่างมีสติ มีเหตุมีผล อย่างเท่าทัน ตำบลจะเป็นชุมชนที่น่าอยู่ คนส่วนใหญ่จะเกิด เติบโต เป็นผู้ใหญ่ แก่ และตายในชุมชน
เพียงเปลี่ยนความคิดเสียใหม่นิดเดียว ก็สามารถสร้างชีวิตสุขให้แก่ญาติพี่น้อง ลูกหลานของเราในตำบลได้อย่างมโหฬาร
ไม่มีความเห็น