ใหญ่กว่า


หนึ่งในความรู้สึก และความประทับใจ ในแต่ละรายละเอียดของชีวิต ยามนึกคิดถึงชีวิตแวดล้อมตัวเอง ยามนึกถึงความอ่อนด้อยในใจผู้คน เหมือนค้นพบความเป็นเด็ก ซึ่งแอบแฝงและซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ ให้เราได้คอยค้นหา เข้าใจ และเรียนรู้ ความเป็นเด็กของชีวิต

ใหญ่กว่า

อ้างอิง - ภาพ Kati1789

ชีวิตผู้คน

กับความเป็นเด็กเล็ก

ซึ่งแอบซ่อนกายอยู่ในตัวเรา

ฟังดูก็เหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นล้อเลียน ยิ่งสำหรับผู้คนซึ่งแบกหัวโขน แสดงตนในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง แม้กระทั่งในหน่วยงานองค์กร ในที่ทำงาน ในบ้าน และในครอบครัว แต่สำหรับความจริงของชีวิต มนุษย์ก็ยังคงเป็นเด็กเล็ก ซึ่งซ่อนกายแอบแฝง ซ่อนเร้นตัวตนอยู่เสมอ

มีบางคนกล่าวถึงตัวตนผู้ชาย

โดยระบุไว้น่าสนใจว่า

ผู้ชายตัวโตโตนั้น

ล้วนมีเด็กผู้ชายตัวเล็กเล็กที่แอบซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งจะคอยออกมาล้อเล่นกับชีวิตและผู้คนรอบข้าง ออกมายั่วเย้ายั่วแหย่ กระทั่งคอยหาเรื่องในความมีเรื่องมีราวของชีวิต คอยอธิบายอะไรผิดผิดถูกถูก ตามใจปรารถนาของตัวเอง หรือกระทั่งยังมีวิสัยความเป็นเด็ก ที่อยากได้อยากครอง

ไม่นับรวม

กับความจริงเบื้องลึก

ในแต่ละพฤติการณ์การกระทำ

เช่นที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองของเรา เคยกระทำและแสดงให้เราเห็น ในแต่ละเมื่อเชื่อวัน ในแต่ละวันของความเป็นเด็กที่ซ่อนเร้นในตัวตนผู้ใหญ่ เรามักเห็นอารมณ์อาการที่ไม่อาจควบคุมตัวเอง อยากได้ อยากมี อยากเป็น เหมือนเด็กสักคน ลงไปนอนชักดิ้นชักงอหน้าชั้นขายของเล่น แสดงอำนาจเล็กเล็ก พร้อมเสียงดังดังที่แผดก้อง เพื่อให้พ่อแม่ได้ยิน

ความจริงในอาการชักดิ้นชักงอ

ที่เราสามารถเห็นได้จาก

วิสัยของผู้ใหญ่วันนี้

อาการอยากได้ใคร่มี อยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ อยากลิ้มลอง อยากสัมผัส อยากมีอำนาจเหนือทุกสิ่งอย่าง เสมือนหนึ่งเด็กเล็กที่อยากครอบครองของเล่น พอเบื่อก็ทิ้งขว้าง พออยากได้ก็ร้องเรียกเอาใหม่ หิวก็โวยวาย ง่วงนอนก็โยเย ไม่พึงพอใจก็ตะเบ็งเสียง

จะแตกต่างอย่างไร

สำหรับวุฒิภาวะของผู้ใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวุฒิภาวะทางอารมณ์

ที่ใครหลายคน ไม่อาจควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้เพียงพอ จนกระทั่งก้าวเส้นแห่งความเคารพนับถือ ก้าวผ่านเส้นความเป็นครูบาอาจารย์ เพียงเพื่อต้องการครอบครองและสัมผัสกายหญิงสาว ที่ได้ชื่อว่า เป็นลูกศิษย์ หรือแม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในแต่ละองค์กรหน่วยงาน

ซึ่งไม่อาจควบคุมอารมณ์ด้านในใจ

กระทั่งต้องคอยหาเศษหาเลย

กับลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชา

ไม่รวมความในอำนาจ สรรเสริญ ลาภยศ เงินทอง และความมีหน้ามีตาในสังคม ที่ความอยากได้ใคร่มี มาผิดที่ผิดเวลาผิดกาลเทศะ และผิดในสิ่งที่ควรจะคิด ควรจะกระทำ ในความเป็นเด็กตัวเล็กเล็ก ที่คอยออกมาโลดแล่นในคราบของผู้ใหญ่ตัวโตโต ที่พูดดีมีสกุลรุนชาติ น่านับถือ

แต่ในทางกลับกัน

กลับปรากฎความจริงเบื้องลึก

ในแต่ละแรงปรารถนาที่ไม่อาจควบคุม

จนกระทั่งสามารถอธิบาย คำจำกัดความชีวิต ในแต่ละสิ่งอย่างของความถูกต้อง ของหลักเหตุผล ของความจริงที่ชีวิตมนุษย์พึงยึดมั่นยึดถือ ให้กลายเป็นความไร้สาระ เพียงเพื่อการบิดเบือนโป้ปดและมดเท็จกับผู้คน ด้วยน้ำคำจากความรู้สึก ที่อธิบายผ่านหลักเหตุผลแบบข้างข้างคูคู

 

 

ไม่ใช่เพราะความจริงเช่นนี้หรอกหรือ

ที่ทำให้เรายังคงได้แลเห็น

ถึงสาระสำคัญในชีวิต

ในแต่ละวันที่เราอ่านข่าว นั่งฟังคำสัมภาษณ์ บทความคิดเห็น จากประดาท่านนักการเมืองทั้งหลายแหล่ ผู้คอยอธิบายความ จากน้ำให้กลายเป็นตัว และจากความเหลวไหลให้กลายเป็นหลักการ ที่ประกอบด้วยวิสัยทัศน์พันธกิจภารกิจ และการยึดมั่นต่อหลักการบริหารราชการแผ่นดิน

ซึ่งต้องประกอบด้วย

ความโปร่งใสซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินถิ่นเกิด

และยึดมั่นในผลประโยชน์ของเพื่อนร่วมชาติ

โดยผลประโยชน์สำคัญนั้น ยึดชีวิตผู้คนในแผ่นดิน เป็นที่ตั้งแห่งผลประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพราะอย่างนี้หรอกหรือ จึงทำให้เราเข้าใจได้ไม่ยาก ว่าใครกำลังทำอะไรให้กับบ้านเมือง ให้กับแผ่นดิน และให้กับคนไทย ในแต่ละความจริงที่ไม่มากมาย เมื่อเราพิจารณาพฤติกรรมนักการเมือง

หลายครั้งหลายคราที่เราต้องทนเห็น

ทนมองและพิจารณาถ้อยคำ

จากเบื้องลึกในใจ

ที่ทำให้เราต้องใคร่ครวญชีวิต ว่าใครช่างกล้าปั้นช่างกล้าสร้างความคิดเหล่านี้ ให้ฝังแน่นอยู่ในใจนักการเมืองเหล่านี้ได้ ไม่นับรวมคำโกหกเพื่อชาติทั้งหลาย ที่คอยออกมาล้อเล่นผู้คนอยู่เสมอ บางครั้งนักการเมืองเหล่านั้น ก็เหมือนจะลงไปนอนชักดิ้นชักงอ ให้ประชาชนได้แลเห็น

ในแต่ละแรงปรารถนา

และความต้องการส่วนตัวของเขา

ที่ทำให้เราตระหนักในตัวเด็กเล็กเล็กเหล่านั้น

ไม่ว่าคำเบ่ง ว่าใครกว่า มีอำนาจมากกว่า พ่อกูใหญ่กว่า เป็นนักการเมืองตามระบอบอันถูกต้องชอบธรรมมากกว่า ทำความดีให้บ้านเมืองมากกว่า ผู้คนต้องปรบมือชื่นชมมากกว่า จะมาก่นด่าหรือประณาม ไม่นับรวมน้ำคำท้วงบุญคุณจากคำกล่าวของนักการเมืองไทยทั้งหลาย

ยิ่งคิดถึงพฤติกรรมความเป็นเด็ก

ผมยิ่งคิดถึงช่วงชีวิตวัยเด็ก

ยามโต้เถียงกับเพื่อน

ยามไม่มีใครยอมใคร ไม่ว่าจะถูกผิดเพียงใด ความจริงคือคำโต้เถียงเหล่านั้น เราต้องเป็นผู้ชนะในที่สุด เหมือนครั้งหนึ่งในสมัยเรียนมัธยมฯ มีเพื่อนหลายคนคุยข่มให้เพื่อนฟังว่า พ่อแม่ญาติพี่น้องตัวเองเรียนดีเพียงใด เพื่อสรุปความว่า เขาก็จะสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้เช่นกัน

ปีนี้พี่กูสอบติดจุฬา โว้ย

เพื่อนคนหนึ่งเริ่มต้นเปิดเกมข่ม

เพื่อกดดันเพื่อนคนอื่นในสิ่งที่เหนือกว่า

บางครั้งเพื่อนบางคนก็หัวเราะขำขัน บางครั้งบางคนก็เปิดฉากโต้ตอบ เพียงเพื่อข่มให้รู้ว่า ใครจะแน่กว่า เช่นที่เพื่อนผู้ชายในกลุ่มนั่งมองหน้ากันและกัน ในท่ามกลางเด็กต่างจังหวัด และเด็กกรุงเทพฯ ที่มักเตะบอลด้วยกัน และหาจุดบกพร่องของต่างฝ่ายมาคอยล้อเลียนและข่มกัน

พื่อนต่างจังหวัดคนหนึ่งเริ่มยิ้มมุมปาก

เหมือนนึกขึ้นมาได้ในบทตอบโต้

พี่มึงสอบติดจุฬาฯ ไม่เจ๋งจริง

พี่กูเจ๋งกว่า พี่กูสอบติด มหาจุฬาฯ โว้ย

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 194547เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2008 14:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 01:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีค่ะ คุณ kati

* ยังยืนยันว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข

* และ Size does not matter!  ค่ะ

.... คงเกี่ยวกันได้ นะคะ :) ....

* ฝันดี ในคืน พระจันทร์ใกล้จะเต็มดวงค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท