โครงการ “ มาเป็นจิตอาสากันเถอะ เพียงปีละ ๑ วัน”(หรือมากกว่า)
หลักการและเหตุผล:
ปัญหาที่ซับซ้อนของสังคม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สิ่งแวดล้อม ความเสื่อมทางวัฒนธรรม เป็นปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบกับจิตใจของคน ทำให้คนมีปัญหาเรื่องเป้าหมายชีวิตเน้นด้านวัตถุมากเกินไป มีการใช้เวลาส่วนมากไปในทางที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ เหลือเวลาน้อยมากในการประกอบคุณงามความดีซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของทุกศาสนา ความซับซ้อนของปัญหาทำให้เกิดการแตกแยกเป็นปัจเจกบุคคล ต่างคนต่างอยู่ ขาดการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อทำความดีที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน แต่ความมีน้ำใจของคนในสังคมไทยไม่เคยเหือดแห้ง จางหายไป และคนไทยก็มีความรู้ความสามารถมาแพ้ชาวต่างประเทศในทุกๆด้าน อีกทั้งทรัพยากรในประเทศก็มีมากมายเป็นที่ได้เปรียบกว่าชาติอื่น เช่นเรามีพระมหากษัตริย์ที่เป็นผู้นำด้านจิตอาสาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีผู้นำในการทำสาธารณประโยชน์มากมายทุกพื้นที่ เงินงบประมาณแผ่นดินจากการจัดเก็บภาษีก็มีมาก เพียงแต่ยังขาดการประสานเรียงร้อยการทำงานให้มีพลังมากพอที่จะเกิดผลกระทบเป็นวงกว้างในสังคมไทย
คนส่วนใหญ่อยากทำความดี แต่คนๆหนึ่งจะลงมือทำความดีเป็นเรื่องที่ยาก ถ้ามีปัญหาอุปสรรคมากก็เกิดความท้อใจเลิกทำความดีได้ง่าย และความดีเป็นเรื่องที่สัมผัสได้เฉพาะตน ทำแทนกันไม่ได้
ดังนั้นถ้ามีการเปิดเวทีในการทำความดีที่ทำได้ง่ายก่อนและอาศัยความต่อเนื่องของการทำความดีจากหลายๆคนเชื่อมเรียงร้อยกันก็จะเป็นกระแสของความดีที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ก็จะดึงดูดให้คนอื่นมาร่วมกันทำความดีได้มากขึ้นไปอีก
วัตถุประสงค์:
รูปแบบการปฏิบัติ:
สำหรับบุคคลทั่วไป:
การปฏิบัติตัว:
การเดินทางมาอโรคยศาล:
หมายเหตุ:
การเป็นจิตอาสา ไม่ติดที่รูปแบบ อาศัยเห็นเป้าหมายร่วมกัน นำความรู้ความสามารถมาลงมือปฏิบัติเลย ประเมินผลที่ความสุขของผู้เป็นจิตอาสา ความสุขของผู้ป่วย
น.พ.ศิริโรจน์ กิตติสารพงษ์ ผู้ร่างโครงการ
--------------------------------------------------------------------------
รายละเอียด คลิกที่นี่
สาเหตุที่ชักชวนไปร่วมกิจกรรมจิตอาสา เพราะผมศรัทธา ใน หลวงตา ครับ
- ผมได้พาพ่อเข้าไปรักษาที่วัดคำประมง เมื่อประมาณ ปี 2549 หลังจากที่พบว่า พ่อ ป่วยด้วยโรคมะเร็งตับ ได้ร่วมกิจกรรมในฐานะเด็กวัด ได้ทำการดูแลรักษาพ่อ ซึ่งกิจกรรมในแต่ละวัน ตอนนั้น อาจจะมีไม่มากเหมือนกับตอนนี้
- เวลาที่เริ่มสำหรับผู้ป่วยเก่า
- ตอนเช้าเวลา ตี 5 ก็จะตื่นมาหุงหาอาหาร อุ่นยาสมุนไพร
- ประมาณ 6 โมง ครึ่ง ก็จะพาพ่อและผู้ป่วยทั้งหมด ที่สามารถเดินทางไปได้หรือคนที่ไปไม่ได้ก็จะฝากของไปใส่บาตรกับหลวงตา โดยหลวงตาจะไปโปรดที่ หน้าศาลา 1 ไร่ - หลังจากใส่บาตรแล้วหลวงตาก็จะให้พร
- หลังจากนั้นผู้ป่วยและญาติก็จะมารับประทานอาหารกัน
- เวลาประมาณ 9 โมงเช้า หลวงตาจะให้ไปรับยาที่อโรคยาศาล ห่างจากที่พักผู้ป่วยประมาณ 100-200 ม.
- หลังจากรับประทานยาแล้ว จะให้ผู้ป่วยเดินทางกลับไปพักผ่อนที่เตียงหรือห้องพักตนเอง ช่วงนี้จะมีญาติๆ เดินทางมาเยี่ยม หรือผู้ที่มีอาการดีขึ้น ไม่เหนื่อยมาก ก็จะช่วยกันปัดกวาดล้างห้องน้ำ ทำความสะอาดบริเวณวัด หรือไปให้อาหารปลาที่เขื่อน ซึ่งจะมีปลาตัวโตๆ ส่วนญาติ ก็จะนั่งคุยกัน ให้กำลังใจกัน หรือ ไปหาฟืนมาเตรียมรอทำอาหาร หรือ ไปตลาด บางทีก็อาศัยพี่ๆ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลคนไข้ในอโรคยาศาล ช่วยเหลือโดยการฝากซื้อของใช้ อาหาร ที่จำเป็น ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ให้บริการเป็นอย่างดี
- ในระหว่างนี้ก็จะมีดนตรีเป็นเสียงตามสายต่อลำโพง เล็กๆ มาที่หอผู้ป่วย เปิดดนตรีเบาๆ บำบัด บางวันก็เปิดเทศนาของหลวงปู่สิม หรือพระเกจิอาจารย์ต่างๆ
- ในส่วนที่ยาหมด หลวงตาก็จะจัดยาสมุนไพรให้และให้ญาติมาต้มเอง ซึ่งรายเก่า ไม่ต้องทำพิธี แต่ผู้มาใหม่ต้องทำพิธี
- ในช่วงนี้ หลวงตาเอง ก็ต้องรอรับแขกและญาติธรรม / ผู้ป่วย บางครั้ง จะมีผู้ป่วยมาวันละ 5-6 รายก็มี แต่ละราย อาการเพียบมาทั้งนั้น
- ตอนกลางวัน 12.00 น. ก็รับประทานอาหารกัน
- เวลาประมาณบ่าย 14.00 น. ผู้ป่วยก็จะเดินทางไปวัดความดัน วัดไข้ ที่ตึกผู้ป่วยหนัก / บางท่านก็อาศัยอบสมุนไพร โดยเฉพาะผมซึ่งเป็นญาติผู้ป่วย ช่วงนี้ชอบตรงที่ได้อบสมุนไพร
- เวลา 16.00 น. ผู้ป่วยรับประทานอาหาร
- เวลา 18.00 น. เดินทางไปสวดมนต์ ที่อโรยาศาล บทสวด เป็นบททำวัตร บทพุทธคุณธรรมคุณ สังฆคุณ ต่อด้วยพระคาถาชินบัญชร บทแปลพระคาถาชินบัญชร สวดพาหุงมหากา สวดธัมมจักรกัปวัฒนสูตร แผ่เมตตา ประมาณ 1 ชั่วโมง นั่งสมาธิ ประมาณ 9 นาที ตอนนี้เสียงจะแหบไปตามๆ กัน ส่วนผู้นำสวด คือ แม่ชี
- ต่อมา หลวงตาก็จะเทศนาให้ฟังทุกวัน หลวงตาจะเทศน์ ประมาณ 10-15 นาที แล้วจะสอบถามผู้ป่วยแต่ละราย โดยดูข้อมูลในชาร์ทประกอบด้วย เพื่อประกอบการจ่ายยา ตอนนี้เป็นเวลาที่หลวงตาให้สอบถามได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่ค่อยมีใครสอบถามหรอกครับ บางทีผมสงสัยในใจจะสอบถาม แต่ไม่ทันได้ถาม หลวงตาก็ตอบโจทย์ที่เราคิดไว้รอแล้ว บางวัน หลวงตาก็ทักท้วงญาติเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำให้ญาติผู้ป่วยอย่างผมงงไปเลยว่า หลวงตาทราบได้ยังไง
- เสร็จประมาณ 3 ทุ่มครับ ก็กลับไปนอนที่พัก
- ช่วงนั้น ผมไปทุกสัปดาห์ประมาณวันศุกร์ (อิอิ หนีงาน) จริงๆ ไม่ได้หนีหรอกครับ ก็บอกหัวหน้าว่าผมจะไปเฝ้าพ่อ ไปวันศุกร์ เปลี่ยนกับน้องๆ ไปเอาบุญ พอตอนเช้าวันจันทร์ก็กลับมาทำงานต่อ ตอนนั้นก็คุยโทรศัพท์กับพ่อทุกวัน
- พ่อรักษาตัวที่นั่น ประมาณ 1 เดือน ผมคิดว่าพ่อได้อะไรเยอะมากจากที่นั่น พ่อน่าจะเห็น ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พ่อเห็นธรรมะ ที่หลวงตาได้ให้ /พ่อได้สร้างศรัทธา ขึ้นในใจของตัวเอง พร้อมส่งต่อศรัทธาไปสู่ลูกหลาน
- พ่อผมเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้าน เวลาประมาณ 18 นาฬิกา ก่อนเสียชีวิต ผมนิมนต์พระมาให้พ่อได้ ถวายสังฆทาน/ชำระหนี้สงฆ์ รับศีล 5 พ่อบอกให้ผมดูแลน้องๆ หลังจากนั้นลมหายใจค่อยแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนหายใจเฮือกสุดท้าย หลับตาสนิท จากพวกเราไปชั่วนิรันดร์ ลูกหลานนั่งนิ่งๆ ไม่มีใครร้องให้ เพราะเห็นการตายที่สงบ ปราศจากความทุรนทุรายไม่เหมือนกับที่เห็นหลายๆ คน สักครู่ผมก็โทรศัพท์ ไปบอกหลวงตาๆ ก็เล่าให้ผู้ป่วยที่ไปสวดมนต์นั่งสมาธิ และให้ทุกคนแผ่เมตตาให้
- 6 เดือนต่อมา ผมได้พา อสม. ไปศึกษาดูงานและถวายวัสดุการแพทย์ / เงินบางส่วนเพื่อช่วยหลวงตาทำงานสร้างบารมีของพระโพธิ์สัตย์ ต่อไป
- เป็นไงบ้างครับ จิตใจอยากเป็น "อาสาสมัคร" หรือยัง
- หลวงตายังรออยู่ครับ / สิ่งดีดี ยังรออยู่ / รอหลายๆ มือ หลายๆ หัวใจ ไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ไม่มีความเห็น