ทำไม?.......
การสอนแบบสองภาษาสำหรับเด็กหูหนวกตามแนววอลดอร์ฟ
สามารถแก้ปัญหาการเขียน - การอ่านภาษาไทยให้กับเด็กหูหนวกได้
จากการที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษามืออย่างมากมายในระดับชั้นอนุบาล1 และ2 (เหมือนกับที่เด็กปกติเรียนรู้คำศัพท์เพื่อการสื่อสารมาตั้งแต่เกิด แต่เด็กหูหนวกจะได้ภาษามือเมื่อมาสู่ระบบโรงเรียน) จากนั้นเมื่อเขาเริ่มเรียนการเขียนในระดับชั้นป.1 โดยฝึกฝีมือจากลีลาเส้นก่อน(เป็นการฝึกการลากเส้นที่ไม่ใช้เส้นประ เพื่อฝึกกล้ามเนื้อ ฝึกการกะจังหวะ ฝึกความพลิ้วของนิ้วมือ ฝึกจังหวะการลากเส้นต่างๆ) จึงจะไปสู่การเขียนตัวอักษร การเขียนคำศัพท์จากตัวอักษรที่เรียนในแต่ละครั้ง เช่น ตัวอักษร ก ก็จะเพิ่มคำศัพท์จำนวน 3 คำ คือ ไก่ กบ กุ้ง ตัวอักษร ด จะเพิ่มคำศัพท์จำนวน 3 คำ คือ เด็ก ดาว ดิน ตัวอักษร ส จะเพิ่มคำศัพท์ เสือ สิงโต ส้ม เป็นต้น
เมื่อนักเรียนเลื่อนชั้นไปที่ ป.2 จะทบทวนตัวอักษรและคำที่เรียนไปแล้วทั้งหมด และเพิ่มคำศัพท์ใหม่อีก 5 คำ เช่น ตัวอักษร ม มีคำศัพท์เดิมอยู่ คือ ม้า มด แมว ก็จะเพิ่มคำใหม่ คือ ม้าลาย ม้ากินหญ้า แข่งม้า ม้ากระโดด ขี่ม้า เป็นต้น
จนบัดนี้นักเรียนอยู่ในระดับชั้น ป.3 แล้ว ได้ทวนคำศัพท์ทั้งหมดที่เรียนไป พบว่านักเรียนยังคงจำคำศัพท์เหล่านั้นได้ ทั้งภาษามือ การสะกดนิ้วมือ และการเขียน
จึงเขียนมาเพราะอยากเล่าให้เพื่อนครูทราบว่า เราสามารถทำให้ความรู้คงอยู่กับเด็กได้ ถ้าหากเราไม่ยัดเยียดให้เขา พัฒนาเขาไปอย่างมีกระบวนการ ตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน และใช้กระบวนการอย่างต่อเนื่องโดยไม่หวังผลเร็วจนเกินไป.
ตัวอย่าง
เด็กหญิงชลิตา ราษี นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่3 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช
การสอนเพิ่มคำที่มีตัวอักษร ส วันแรก จะทบทวนคำที่สอนที่เรียนไปแล้ว ป.1ก่อน
และ เพิ่มคำใหม่ โดยดารวาดภาพประกอบคำ ฝึกเขียนแบบมีเส้นและไม่มีเส้น
ทั้งนี้ก่อนเขียนลงในสมุดแบบฝึก ครูหูหนวกเป็นตัวอย่างการใช้ภาษามือและสะกดนิ้วมือ
ต่อมานักเรียนฝึกการใช้ภาษามือและสะกดนิ้วมือก่อนทุกครั้งการลงมือเขียน
สรุปคำที่ได้เรียนเพิ่ม
เพิ่มวลี ฝึกภาษามือ สะกดนิ้วมือ วาดภาพตามวลี และฝึกการเขียนแบบมีเส้นและไม่มีเส้นตามลำดับ
นี้คือผลงาน สำหรับเด็ก 1 คน เพื่อนำเสนอเป็นตัวอย่าง ส่วนเด็กคนอื่นๆก็มีผลงานแบบนี้ทุกคนในชั้นเรียน ป.3 ในปัจจุบันนี้(ปีการศึกษา 2551)..
ไม่มีความเห็น