หลังจาก ที่สงครามอินโดจีนในภูมิภาคนี้สงบลงแล้ว ประมาณปี พ.ศ. 2519 ประเทศไทยก็ก้าวเข้าสู่ยุค NGOs ที่เกิดขึ้นมากมายทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วนหนึ่งเพราะองค์กรพัฒนาของต่างประเทศที่เข้ามาช่วยเหลือตามค่ายผู้อพยพชายแดนต่างๆ ขยายการทำงานเข้าสู่พื้นที่ชนบทไทย
ประมาณปี พ.ศ. 2525-2530 ผมย้ายที่ทำงานจากชายแดนไทยจังหวัดสุรินทร์มาที่สำนักงานเกษตรภาคอีสาน ท่าพระ ขอนแก่น ชื่อโครงการพัฒนาการเกษตรอาศัยน้ำฝนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมี USAID เป็นผู้สนับสนุนเงินทุนใหญ่ และรัฐบาลไทยได้ระดมหน่วยงานราชการมาทั้งกระทรวงเกษตรมาช่วยกัน รวมทั้งคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นด้วย เพื่อมาช่วยกันคิดช่วยกันพัฒนาพื้นที่เกษตรที่ใช้น้ำฝนในอีสาน นอกจากนี้ก็มีโครงการ EU เพื่อวิจัยหาพืชใหม่ๆมาทดแทนการปลูกมันสำปะหลัง โครงการพัฒนาทุ่งกุลาร้องให้ที่เอายูคาลิปตัสมาปลูกตามหัวคันนา ส่วน NGO ขนาดใหญ่ช่วงนั้นก็มี Redd Barna, Foster Parent Plan, Save the Children(Japan), Care(USA) ฯลฯ ซึ่งต่างก็เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีคนไทยและผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาทำงานด้วยมากมาย จึงเกิดชุมชนชาวต่างประเทศในภาคอีสานขึ้นโดยวัฒนธรรมของเขา
สิ่งที่เห็น คือการพบปะกันของกลุ่มชาวต่างประเทศ ในรูปแบบต่างๆ เช่น ชอบจัดงานปาร์ตี้ งานวันเกิด งานต้อนรับ งานเลี้ยงส่ง ฯลฯ ชาวต่างประเทศเหล่านี้ทั้งหมดเป็นผู้ที่มีความรู้ระดับสูง หลายคนเป็นศาสตราจารย์ เป็นอาจารย์ ในสถาบันการศึกษาระดับสูงของต่างประเทศ ลาราชการมาทำงานโครงการต่างๆในบ้านเมืองเรา
กลุ่มคุยกัน จากนิสัย หรือวัฒนธรรมของเขาจึงพัฒนาขึ้นมาเป็นการชุมนุมกันที่โรงแรมขอนแก่นโฮเต็ล เพื่อพูดคุยกันในสาระของงานที่แต่ละคนรับผิดชอบอยู่เดือนละครั้ง จะเรียก Forum หรือ Mini-Seminar หรือ Meeting หรืออะไรก็แล้วแต่ เถิด แต่รูปแบบก็คือ ทุกคนมีอิสระที่จะมาเข้าร่วม ต่างก็สั่งเบียร์ สั่งกาแฟมากินกัน แล้วก็มีคนใดคนหนี่งนำเสนอเรื่องราวของโครงการของเขาให้ทั้งกลุ่มฟัง แล้วก็ตั้งคำถาม แลกเปลี่ยนกัน แบบกึ่งทางการ เมื่ออิ่มเอมในสาระกันแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไป เมื่อถึงเดือนใหม่ต่างก็พาเพื่อนฝูงหน้าใหม่ๆเข้ามากัน ทั้งคนต่างประเทศ คนไทย คนทำงาน อาจารย์ในมหาวิทยาลัย เต็มห้องไปหมด
เมื่อคนมาก ก็พัฒนารูปแบบขึ้นเพื่อให้การจัดการเหมาะสมมากขึ้น แต่รูปแบบที่ไม่เปลี่ยนคือ สบายๆ ใครอยากดื่มเบียร์ ดึ่มกาแฟ ก็อิสระเสรี เนื่องจากสาระหลักเพื่อชาวต่างประเทศ แต่ช่วงหลังคนไทยเข้าร่วมมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานโครงการพิเศษต่างๆ และอาจารย์จากมหาวิทยาลัย จึงเกิดการพูดคุยกันกว้างขวางมากขึ้น สลับการนำเสนอสาระกันระหว่างคนไทยกับฝรั่ง ส่วนจำนวนคนก็มากน้อยแล้วแต่ความสนใจในแต่ละครั้งที่กำหนดกันล่วงหน้า 1 เดือน แต่ที่แน่ๆคือ จะมีฝรั่งเป็นหลักมากกว่าคนไทย ประมาณ 10 คนประจำ
สรุป ผมเข้าร่วมไม่ทุกครั้ง ตามสะดวกดังกล่าว แต่เท่าที่เฝ้ามองมีข้อสังเกตดังนี้ครับ
· นิสัยฝรั่งชอบการพูดคุย แลกเปลี่ยนกึ่งทางการแบบนี้มากกว่าคนไทยหรือเปล่า เป็นวัฒนธรรม หรือเปล่าผมไม่แน่ใจ
· เวทีที่ไม่เป็นทางการแบบนี้ บรรยากาศการเรียนรู้แลกเปลี่ยนดีกว่า การจัดแบบทางการ ไม่เครียด แบบเอาเป็นเอาตาย และไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรให้มากความ
-
การที่กลุ่มการเรียนรู้แบบนี้เกิดขึ้นทำให้เป็นจุดเริ่มของการสานต่อความรู้ต่างๆที่ขยายออกไปโดยอัตโนมัติ ใครติดใจประเด็นไหนกับใครก็สานต่อกันไปทันที
-
ไม่มีใครเป็นภาระ ทางโรงแรมก็ไม่เก็บค่าห้อง แต่ขอให้ผู้เข้าร่วมช่วยสั่งเครื่องดื่มก็เท่านั้น
· เกิดความสนิทสนมรู้จักกันอย่างกว้างขวาง และพาไปสู่ความเป็นเพื่อน และรู้จักกันและกัน นำไปสู่กิจกรรมอื่นๆตามมา เช่น การนัดไปเล่นกีฬาที่แต่ละคนชอบด้วย กลายเป็นการแตกแขนงกลุ่มย่อยอื่นๆตามมา
· แต่แปลกครับ เมื่อฝรั่งต่างทยอยกลับประเทศของเขาเพราะจบสัญญา หรือปิดโครงการ กิจกรรมนี้คนไทยไม่สานต่อ กลุ่ม Forum นี้ก็ปิดไปโดยปริยาย กลุ่มเล็กๆเพื่อการเรียนรู้ก็หยุดไปด้วย???
ทำไมหนอ??