The world Supremacy Leader
: กว่าจะได้เป็น.. ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา
โดย นายปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์
นิติกร สำนักกฎหมาย
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ท่านผู้อ่านคงรับทราบถึงปัญหาทางเศรษฐกิจโลกที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกตามที่ปรากฏในการนำเสนอข่าว คือ ปัญหาซับไพรม์ (Sub Prime) ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเนื่องจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ขอสินเชื่อซึ่งมีความน่าเชื่อถือต่ำในธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ อันส่งผลต่อสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจในสหรัฐฐอย่างใหญ่หลวง ซึ่งประเทศไทยของเรานั้นก็ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ด้วย โดยปรากฏชัดในเรื่องของตัวเลขการลงทุนที่ลดลงจากสหรัฐอเมริกา อันส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญของประเทศมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาที่น่าสนใจไม่แพ้กันในช่วงนี้ก็คือ การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา (President of the United State - POTUS) ซึ่งถือเป็นบุคคลที่มีบทบาทในทางระหว่างประเทศระดับที่เรียกว่า เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของประชาคมโลกก็ว่าได้
ดังนั้น ในโอกาสนี้จึงขอเสนอ ขั้นตอนและระเบียบวิธีการเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาซึ่งค่อนข้างซับซ้อนและแตกต่างจากประเทศอื่นๆในโลก อันปรากฏข้อเท็จจริงมาแล้วว่าแม้แต่พลเมืองของสหรัฐอเมริกาเอง ก็ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการเลือกตั้งดังกล่าวในสัดส่วนที่น้อยมาก อย่างไรก็ดี ท่านผู้อ่านจะได้รับสาระประโยชน์ในเรื่องดังกล่าวได้ใน “The world Supremacy Leader : กว่าจะได้เป็น.. ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา” ซึ่งท่านสามารถใช้บทความนี้ทำความเข้าใจและติดตามความเคลื่อนไหวของการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดี
ภูมิหลังทางการเมืองสหรัฐอเมริกา
แต่เดิมพื้นที่ทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับชนพื้นเมืองที่เรียกว่า “อินเดียนแดง” มาก่อนเป็นเวลาถึง ๑๕,๐๐๐ ปี จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ได้มีการสำรวจบุกเบิกและตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปขึ้น และในเวลาต่อมาราชอาณาจักรอังกฤษได้ทำการก่อตั้งอาณานิคมใหม่ขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้
|
|
มลรัฐทั้ง ๕๐ของสหรัฐอเมริกานั้น มีสิทธิในการปกครองตนเองในระดับสูงภายใต้ รูปแบบการปกครองแบบ “สหพันธรัฐ”[1] โดยมี
รัฐบาลกลางที่เข้มแข็งดำเนินบทบาทในการใช้อำนาจอธิปไตยเพียงบางประการที่สำคัญเท่านั้น เช่น ในด้านการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในด้านการป้องกันประเทศ ทั้งนี้มลรัฐของสหรัฐอเมริกา ๔๘ มลรัฐ ตั้งอยู่บนดินแดนระหว่าง แคนาดาและเม็กซิโก ส่วนรัฐอะลาสกา และฮาวาย พื้นที่เป็นเกาะไม่ได้อยู่ติดกับมลรัฐอื่น นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังมี “District Of Columbia” อยู่ทางตะวันออกของประเทศบนฝั่งของแม่น้ำโปโตแมค อันเป็นเขตปกครองกลาง ประจำสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวง ของสหรัฐอเมริกาและดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกาทั่วโลก
|
การเมืองการปกครองของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกา (United States of America - USA) มีรูปแบบรัฐแบบสหพันธรัฐ (Federal Republic) ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบมีประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล (Chief Executive) ภายใต้รัฐธรรมนูญ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๕๐ มลรัฐ และ
๑ District (District of Columbia อันเป็นที่ตั้งของ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.) ได้แก่ Alabama , Alaska (มลรัฐที่ใหญ่ที่สุด), Arizona, Arkansas, California, Colorado, Connecticut, Delaware, District of Columbia, Florida, Georgia, Hawaii, Idaho, Illinois, Indiana, Iowa, Kansas, Kentucky, Louisiana, Maine, Maryland,
เกาะแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์ค ทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา สะท้อนถึงความเจริญทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในการเป็นศูนย์กลางแห่งโลกทุนนิยม และตึก World Trade Center ซึ่งคงอยู่ในความทรงจำของชาวโลกตลอดไป
|
การปกครองแบบสหพันธรัฐภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา แบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็น ๓ ฝ่าย ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญซึ่งแต่ละฝ่าย มีที่มาในลักษณะที่แตกต่างกัน ทั้งมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (checks and balances) ดังนี้
ฝ่ายนิติบัญญัติ หรือ “สภาครองเกรส”ประกอบด้วยสองสภา คือ วุฒิสภา มีสมาชิกจากทุกมลรัฐ มลรัฐละ ๒ คน รวมเป็น ๑๐๐ คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ ๖ ปี ทั้งนี้สมาชิกจำนวน ๑ ใน ๓ จะครบวาระทุก ๒ ปี วุฒิสภาอำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบหรือปฏิเสธการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตลอดจนบุคคลที่ประธานาธิบดีแต่งตั้ง รวมถึงการให้สัตยาบันสนธิสัญญา ทั้งนี้รองประธานาธิบดีจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา (President of the Senate) โดยตำแหน่ง ส่วนสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน ๔๓๕ คน แบ่งตามสัดส่วนของประชากรในมลรัฐ คือ ประชากร ๕๗๕,๐๐๐ คน ต่อ สมาชิก ๑ คน โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดำรงตำแหน่งสมัยละ ๒ ปี
United State Capital ที่ประชุมสภาครองเกรส ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐอเมริกา |
ฝ่ายตุลาการ : ประกอบด้วย ศาลชั้นต้น (Circuit Court) ศาลอุทธรณ์ (Appeal Court)และศาลฎีกา (Supreme Court) โดยศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกเลิกกฎหมายและเพิกถอนการปฏิบัติการของฝ่ายบริหารที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งมีทั้งหมด ๙ คนนั้น ประธานาธิบดีจะเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง และดำรงตำแหน่งได้ โดยไม่มีการกำหนดวาระ
ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ผู้นำรัฐ ผู้นำโลก
รัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดได้ว่าเป็นต้นแบบรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดของโลกและยังใช้บังคับอยู่จนถึงปัจจุบัน ได้บัญญัติให้ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา (President of the United States)[3] เป็นประมุขในการปกครองประเทศ และทำหน้าที่เป็นทั้งผู้นำฝ่ายบริหารของรัฐบาลแห่งสหพันธรัฐอันมีหน้าที่ในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย
นอกจากนี้ประธานาธิบดีต้องเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังทหาร รวมไปถึงอำนาจในการให้ความเห็นชอบ ร่างกฎหมายที่ผ่านมาจากสภาคองเกรส ทั้งนี้ ประธานาธิบดียังมีอำนาจ ในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นที่ปรึกษา อำนาจในการลดโทษหรือให้รอลงอาญา อำนาจในการทำสนธิสัญญา รวมไปถึงอำนาจในการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตและผู้พิพากษา โดยคำแนะนำและยินยอมจากวุฒิสภา ทั้งนี้ การที่ผู้นำสหรัฐอเมริกามีอำนาจเต็มในการแต่งตั้งหรือปลดรัฐมนตรีได้ทุกเมื่อ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามมติ ของคณะรัฐมนตรี ทำให้รัฐมนตรีมีตำแหน่งเป็นเพียง Secretary หรือเลขานุการของประธานาธิบดี ไม่ได้เรียกว่า Minister ดังเช่นประเทศอื่น
ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกานั้นมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมผ่านทางคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) มีวาระในการดำรงตำแหน่ง ๔ ปี และสามารถอยู่ในดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน ๒ วาระซึ่งบัญญัติไว้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ[4] ครั้งที่ ๒๒ ที่ได้รับการอนุมัติ ในปี ค.ศ. ๑๙๕๑ ภายใต้ระบบการเลือกตั้งเช่นนี้ แต่ละมลรัฐจะได้รับการแบ่งสรรให้มีจำนวนคะแนนเสียงโหวต (Electoral Vote) ที่แตกต่างกันตามจำนวนประชากร โดยจะเท่ากับจำนวนที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา รวมกับคะแนนเสียงพิเศษในเขต ดิสตริกต์ ออฟ โคลัมเบีย หรือกรุงวอชิงตัน ดี.ซี อันเป็นเมืองหลวงซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดในส่วนต่อไป
การที่ประธานาธิบดีสหรัฐจะอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ ๔ ปี แต่ไม่เกิน ๒ สมัยนั้น ทั้งนี้
แต่เดิมรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดวาระของประธานาธิบดีไว้อย่างชัดเจน แต่หลังจากที่ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน และประธานาธิบดีโทมัส เจฟเฟอร์สัน อยู่ในตำแหน่ง ๘ ปี โดยไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยที่ ๓ ก็ทำให้เกิดธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาว่า ผู้นำสหรัฐจะอยู่ในตำแหน่งไม่เกิน ๒ สมัย กระทั่ง
แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์ ประธานาธิบดีคนที่ ๓๒ ฝ่าฝืนประเพณีนี้ โดยอยู่ในตำแหน่งนานถึง ๑๖ ปี หลังชนะการเลือกตั้งติดต่อกันถึง ๔ สมัย ต่อมาเมื่อเขาถึงแก่กรรมลงในปี ค.ศ. ๑๙๕๑ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยกำหนดชัดเจนไม่ให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งเกินกว่า ๒ สมัย หรือ ๘ ปีเท่านั้น เพื่อป้องกันการหลงมัวเมาในอำนาจและใช้อำนาจในทางที่ผิด นอกจากนี้การพ้นตำแหน่งก่อนหมดวาระเกิดขึ้นได้เพียง ๓ กรณีเท่านั้นคือ เสียชีวิต ลาออก และถูกสภาผู้แทนราษฎรปลดจากตำแหน่ง (Impeachment) การพ้นจากตำแหน่งก่อนกำหนดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม รองประธานาธิบดีจะเข้ารับตำแหน่งสืบต่อไปทันที
บทบาทของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่เราคุ้นเคย ก็คือผู้มีส่วนสร้างความเคลื่อนไหวที่สำคัญในเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทในองค์การสหประชาชาติที่ส่งผลต่อประชาคมโลกโดยทั่วไป ดังนั้นผู้นำของสหรัฐอเมริกาจึงกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดผู้หนึ่งโลก
การเลือกตั้งประธานาธิบดี เส้นทางสู่ทำเนียบขาว
|
ดังที่ได้นำเสนอไปแล้วว่า “สหรัฐอเมริกา” มีรูปแบบการปกครองแบบ “สหพันธรัฐ” ซึ่งประกอบด้วย มลรัฐทั้ง ๕๐ และเขตปกครองอื่นรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งมลรัฐและเขตการปกครองเช่นว่านี้ ต่างมีสภาพเป็นองค์ภาวะที่มีรัฐบาลเป็นของตนโดยเอกเทศจาก “รัฐบาลกลาง” ของสหพันธรัฐ ดังนั้นระเบียบวิธีการในการได้มาซึ่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาย่อมไม่เหมือนการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรไทยของเราซึ่งเป็น “รัฐเดี่ยว” และหากศึกษาการได้มาของประธานาธิบดี และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาแล้วจะเห็นว่าแตกต่างกับประเทศไทยโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คือกระบวนการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี โดยรัฐธรรมนูญกำหนดคุณสมบัติ[5]ของผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีว่าต้องมีสัญชาติอเมริกันโดยกำเนิด และมีอายุไม่ต่ำกว่า ๓๕ ปี โดยอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๑๔ ปี
“ การสรรหาบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้นเป็นการเลือกตั้งโดยอ้อ แบ่งออกเป็นสองขั้นตอนหลัก คือ ขั้นตอนแรก พรรคการเมืองแต่ละพรรคจะดำเนินการสรรหาตัวแทนภายในพรรคของตน ซึ่งหมายถึง การแข่งขันกันเองของผู้สมัครในพรรคเดียวกันในชั้นหนึ่งก่อนโดยมีการหยั่งเสียงในระดับมลรัฐหรือการเลือกตั้งขั้นต้นและการประชุมใหญ่ของพรรคในระดับประเทศ (National Convention) โดยผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นจะได้เป็นตัวแทนพรรคในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และขั้นตอนที่สอง คือ การเลือกตั้งทั่วไป ที่เป็นการแข่งขันกันระหว่างผู้แทนพรรคแต่ละพรรค อันนำไปสู่การลงคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral college)ในการเลือกตั้งขั้นสุดท้าย (Electoral Vote) ซึ่งถ้าผู้ใดชนะในคราวนี้จะได้เป็น “ประธานาธิบดี” คนต่อไปของสหรัฐอเมริกา ”
********************* ติดตามต่อตอนที่ 2 ******************
ไม่มีความเห็น