ความห่วงหาอาลัยย่อมเป็นสิ่งที่ฝังใจในตัวตนทุกๆคนตราบใดที่ยังมีความโลภโกรธ หลง โดยเฉพาะการที่ผู้คนสูญเสียผู้ที่เคารพ คนที่นับถือ คนที่เรารักและห่วงหา เมื่อเขาเหล่านี้สิ้นชีวิตลงญาติย่อมมีความโศกเศร้าเสียใจ อาลัย ห่วงหา อาวรณ์และเกรงไปว่าวิญญาณผู้ตายจะไปอยู่ที่ใด ตกระกำลำบากแค่ไหน? จะไปตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ แม้ว่าจะปลงใจว่าผู้ตายได้ขึ้นสวรรค์ ก็ยังคิดต่อไปอีกว่า จะไปอยู่สวรรค์ชั้นใดอีก...โอย..จิปาถะ ที่จะครุ่นคิด กระแสใจจะพาไปไหนๆ
หลังจากที่นำศพไปเสียที่ป่าช้าแล้วก็ยังคิดอีกว่าหากผีผู้ตายกลับมาบ้านคงจะกลับเข้าบ้านไม่ถูก เพราะตายไปแล้วอาจลืมประตูบ้านว่าอยู่ที่ใด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่วิญญาณผู้ตายญาติๆจึงเตรียมทำการก่อกองไฟไว้ที่ข้างประตูบ้าน โดยการนำเอาหลัว(ฟืน)ในเตาไฟ(ห้องครัว)ของบ้านผู้ตายนั่นแหละมาทำกองไฟ หากได้หลัวหรือฟืนที่ผู้ตายหามาไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้ยิ่งดี เพราะว่านั่นคือขี้ตี๋นขี้มือ(น้ำมือ)ของผู้ตายเจ้าของจะได้จำได้แม่น อย่างเช่น ลุงบุญถา หาฟืนมาไว้ใช้ในเตาไฟ แต่อยู่ๆ ลุงถาเสียชีวิตลง ฟืนของลุงถายังคงอยู่ในเตาไฟ ญาติๆก็จะเอาฟืนของลุงถานั่นแหละมาก่อกองไฟยามประตู๋บ้าน
การก่อกองไฟยามประตู๋บ้านจะก่อเมื่อเอาศพไปเสียป่าช้าแล้ว ในค่ำวันนั้นเอง ญาติจะนำหลัวหรือฟืนประมาณสามสี่อันมาทำกองไฟไว้ข้างประตูบ้านที่เอาศพออกไป เช่นเอาศพออกบ้านแล้วเลี้ยวซ้าย เมื่อก่อกองไฟก็จะก่อริมเสาประตูบ้านด้านซ้าย ดั่งนี้เป็นต้น เพื่อว่าจะให้วิญญาณผู้ตายกลับเข้าบ้านได้ถูกทิศทาง
รอให้พระอาทิตย์ตกดินแสงลับลายามค่ำดีดักแล้ว ญาติจะก่อไฟให้ลูกโชนเอาไว้อย่างนั้น เพื่อให้ประตูบ้านมีแสงสว่าง นอกจากอำนวยความสะดวกให้วิญญาณผู้ตายกลับเข้าบ้านได้แล้ว ยังอำนวยความสะดวกให้แก่ญาติที่อยู่บ้านเรือนใกล้เคียงมาเยี่ยมเยียนในเวลาโศกเศร้าหรือที่เรียกกันว่า "เฮือนเย็น" เพราะมันเงียบเหงาเยือกเย็นจริงๆ พี่ๆ น้องๆ ญาติๆเครือเถาเหล่ากอ ต่างมานั่งจับเข่าเจ่าจุก ระบายทุกข์ในใจ คลายความเศร้าให้ห่างหาย บางคนเล่าเจี้ย บางคนเล่นเปี๊ยะ ดีดซึง สีสะล้อตามแต่ตนจะมีผู้หญิงบางคนอาจทำขนมเล็กๆน้อยๆมานั่งกินกันปรับทุกข์กันไป วางแผนการปรับใช้ชีวิตใหม่ โดยเฉพาะหากผู้ตายเป็นคนที่มีบุญคุณ เป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นเสาหลักของครอบครัว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังต้องปรับวิถีชีวิต เปลี่ยนแปลงจิตใจกันบ้างไม่มากก็น้อย บางครอบครัวอาจเปลี่ยนแปลงอาชีพกันไปเลย หรือต้องย้ายบ้านเรือนอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย ห่างแผ่นดินที่ฝังรกเกิด ไปไกลสุดๆ
กล่าวถึงญาติๆที่นั่งพูดจาปราศัยครั้นเมื่อถึงเวลาเข้านอนต่างก็พากันหาที่หลับนอนของตนเอง ต่อวันรุ่งขึ้นจึงช่วยกันเหมียด(จัดเก็บ)ข้าวของเครื่องใช้ให้เข้าที่เข้าทางตามเดิม จนถึงเวลาพลบค่ำก็จะต๋าม(จุด/ก่อ)ไฟยามที่ประตู๋บ้านดังเดิมจนครบเวลาเจ็ดวันหรือหมดเวลาเฮือนเย็นคนล้านนาบางท้องถิ่นเรียกกันว่า "ออกกั๋มม์" การก่อกองไฟยามประตู๋บ้านจึงยุติลง เหลือเพียงขี้เถ้าละทิ้งไว้อย่างนั้นญาติๆจะไม่จัดเก็บหรือทำความสะอาด ผู้คนที่ผ่านไปมาก็จะเห็นและทราบว่านั่นคือร่องรอยขี้ซาก(ซาก)กองไฟยามประตู๋บ้านแสดงให้เห็นว่าญาติๆแสดงความกตัญูญูห่วงหาอาลัยผู้ตายอย่างหาที่สุดมิได้
ไฟยามประตู๋บ้านยังมีกระทำอยู่บางท้องถิ่นในปัจจุบัน แต่มักอยู่ในถิ่นชนบทห่างไกลตัวเมือง หากท่านผ่านประตู๋บ้านใดเกิดเห็นกองเถ้าถ่านริมเสาประตู๋บ้าน ให้เข้าใจว่านั่นแหละคือร่องรอยแห่งความอาลัยหาวิญญาณผู้ตาย มิใช่เจ้าของบ้านเอาขี้เถ้ามาทิ้งขว้างหน้าบ้านเน้อ...หมู่เฮา..
สวัสดีเจ้าคุณจิ...
เขียนจบพอดีก็มีกาแฟมาให้จิบ...ยินจ้าดนักเน้อ
ขอบคุณหลายๆขอให้มีความสุขตลอดไปครับ..
ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน....พรหมมา
ไหว้สาครับ
" ห่างหายก๋ายสูญ หมู่มุ้นห่วงหา
กั๋วสูปิ๊กมา บ่าถูกถ้อง
เซาะเก็บหาหลัว ในครัวในข้อง
มาก่อไฟฮ้อง เฮือนเฮา "
(ผมมีบึนทึกเป๋นค่าวบ้านเฮาตวยครับสองบึนทึก ขอโปรดชี้แนะตวยเน่อครับ)
รพี กวีข้างถนน
สวัสดีครับคุณรพี กวีฮิมหนตาง...
*ขอชมว่ามีความเพียรดี
*ค่าวมีหลายรูปแบบ คือค่าวยาว ค่าวก้อม
*ตัวอย่างค่าวก้อม"ต๋ายไปแล้ว ญาติกึ้ดเติงหา
ต๋ามไฟยามนา รอถ้าผีเจ้า.."
*ก๋ารแต่งค่าวจะถือเอาเสียงสูงต่ำ สลับกั๋นไปบ่บังคับวรรณยุกต์เหมือนกะโลง เช่นค่าวตางบนคำว่า หา เสียงสูง สัมผัสกับคำว่านา เสียงสามัญหรือเสียงต่ำ เป๋นต้น หากสนใจ๋ก๋ารแต่งค่าวพอมีหนังสือต๋ำฮาวางขายลองซื้อมาทดลองอ่านผ่อเน้อ..
*ขณะนี้ลุงก๋ำลังแต่งพระลอคำค่าวอยู่ อาจจะเสร็จราวเดือนกันยายนนี้ หากมีกำลีงเงินพอก็จะพิมพ์เป๋นเหล้มออกหื้อสังคมได้อ่าน
*ด้วยความปรารถนาดีจากลุงหนาน.....พรหมมา
สวัสดีครับป้อหนานพรหมมา
สวัสดีครับครูสุ.....
*ลองสังเกตตามหมู่บ้านชนบทบางครั้งอาจเห็นพิธีกรรมอย่างนี้ครับ..
*ยินดีที่พวกเราสนใจเรื่องของล้านนา..
*ด้วยความปรารถนาดีจาก...ลุงหนาน..พรหมมา