เพื่อน KM ที่รักคิดถึงยิ่ง วันนี้ขอถือโอกาสนำสาระน่ารู้ น่าใช้มานำเสนอเพื่อเผยแพร่ ในฐานะสมาชิก KMนะครับ ท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า อันความรู้นั้นไซ้ หากไม่นำมาใช้ก็จักด้อยค่า จึงจงใจนำมาเสนอในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะครับ !!! โปรดติดตาม
OPAR การวิจัยเชิงปฏิบัติการในเขตพื้นที่ ด้วยสูตร P = C – F
ความหมาย
OPAR ในที่นี่ให้มีความหมายที่ครอบคลุมถึง หัวหน้าหน่วยงาน /หัวหน้าสำนักงานหรือบุคลากรในเขตพื้นที่ลงมือปฏิบัติร่วมกันในการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิเคราะห์ วิจัย กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ โดยใช้ข้อมูล [DATA] สารสนเทศ [INFORMATION] ที่มีอยู่ในเขตพื้นที่ของตนเพื่อพัฒนางานของตนเองและหรือพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี [QUALITY OF LIFE]
พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา ๓๐ ระบุ ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน ในแต่ละระดับการศึกษา
|
จึงเป็นข้อผูกพันที่เรา-ท่านที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย [STAKEHOLDERS]ในกิจการการศึกษาของบ้านเมืองของเราที่จักต้องดูแล เอาใจใส่ร่วมกันในการแปลสาระบัญญัติดังกล่าวนี้ออกสู่การปฏิบัติเพื่อพัฒนาการศึกษาผ่านกระบวนการวิจัยเพื่อให้เป็นกลไกสำคัญในการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ที่ถือ ผู้เรียนสำคัญที่สุด
และในที่นี่ก็จึงเป็นหนึ่งในหลายๆความพยายามในพันธกิจเพื่อให้บรรลุตามสารบัญญัติแห่งกฎหมายสำคัญดังกล่าวข้างต้น
อธิบาย/ขยายความ
ในการศึกษาวิจัย OPAR นี้ดำเนินการภายใต้กรอบของความหมายของ คำ OPAR และสูตร P = C-F ดังนี้
OPAR เป็นคำย่อ ของคำต่อไปนี้
O : OFFICE/ORGANIZATION
ในที่นี่หมายถึง สำนักงาน/องค์การ เป็นการวิจัยโดยใช้ข้อมูล/สารสนเทศในหน่วยงาน หรือองค์การนั่นเอง
P : PARTICIPATION ในที่นี่หมายถึง การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย[STAKEHOLDERS] ในชั้นเรียน ในที่นี่เน้นที่ ครูผู้สอน / ครูในสายชั้น / ครูในหมวดวิชา / ผู้บริหาร นักเรียน /ผู้ปกครอง /นักวิชาการ หรือ……
A : ACTION ในที่นี่จงใจให้มีความหมายครอบคลุมถึง การลงมือปฏิบัติการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยแบบมีส่วนร่วม
R : RESEARCH ในที่นี่ก็จงใจให้มีความหมายที่ครอบคลุมถึง การศึกษาค้นคว้า ทดลองวิเคราะห์ วิจัย ด้วยตัวครูผู้สอนเอง
ดังนั้น OPAR ในที่นี่จึงจงใจให้มีความหมายที่ครอบคลุมถึง การที่ผู้บังคับบัญชา หัวหน้าหน่วยงาน หรือบุคลากรในเขตพื้นที่ลงมือปฏิบัติร่วมกันในการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิเคราะห์ วิจัย กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยใช้ข้อมูล [DATA] สารสนเทศ [INFORMATION] ที่มีอยู่ในเขตพื้นที่ของตนเพื่อพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี [QUALITY OF LIFE] ตามรูปแบบ และขั้นตอน ดังต่อไปนี้
รูปแบบ [MODEL] การค้นหา ปัญหา [PROBLEM]
ในที่นี่เน้นให้ค้นหา ปัญหา [PROBLEM] ด้วยสูตร P = C-F
นั่นคือ ผู้ศึกษาวิจัยต้องดำเนินการดังต่อไปนี้
1.เก็บข้อมูล [DATA /สารสนเทศ [INFORMATION COLECTING] ในชั้นเรียนที่สำคัญ 2 ตัว คือ
2. การเก็บข้อมูล [DATA /สารสนเทศ [INFORMATION COLLECTING] เน้นที่การเก็บรวบรวมในรูปของตาราง [TABLES] โดย COMPUTER โปรแกรม EXCEL ดังเช่น
3.การแปลง ข้อมูล [DATA /สารสนเทศ [INFORMATION COLLECTING] ในตารางออกเป็นแผนภูมิ[GRAPH] โดย COMPUTER โปรแกรม EXCEL
4. แปลความ/อธิบายความจาก แผนภูมิ[GRAPH]
5. ระบุปัญหา/จุดที่ยังไม่พอใจ ด้วยสูตร
P=C-F
6. วิเคราะห์หาแนวทางแก้ปัญหา [ALTERNATIVES] ด้วย FGD.TECHNIQUE
7. คัดเลือกแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ที่สุด [SELECTED ALTERNATIVE]
8. จัดสร้างนวัตกรรม [INNOVATIN] ที่สอดคล้องกับแนวทางแก้ปัญหาในข้อ 7
9.ขียนรายงานการศึกษาวิจัย [REPORTING]
10.เผยแพร่/ประชาสัมพันธ์ ด้วย SYMPOSIUM และหรือ อื่นๆ
************
กรณีตัวอย่าง
ปัญหา[PROBLEM]หมายถึงส่วนต่างระหว่างเกณฑ์ [CRITERIA,MEAN,NORM] หรือ ระดับที่พอใจSATISFACTION LEVEL]ที่กำหนดไว้เป็นบรรทัดฐานกับสภาพจริง[FACT] ที่ปรากฏ ดังกำหนดเป็นสูตรขึ้นไว้ดังนี้
P=C-F
นั่นคือ ถ้าความแตกต่างมีมากก็แสดงว่าสิ่งนั้นมีปัญหามาก แต่หากความแตกต่างมีน้อย ก็แสดงว่าสิ่งนั้นก็มีปัญหาน้อย
ดังนั้นจะเห็นว่าในการมองสภาพปัญหาตามสูตรดังกล่าว ผู้มองต้องศึกษาให้รู้ถึง ข้อมูล สารสนเทศหรือดัชนีถึง 3 ตัวคือ
1.ข้อมูล[DATA] หรือ สารสนเทศ [INFORMATION]หรือดัชนี[INDICATOR] ที่เป็นเกณฑ์ [CRITERIA,MEAN,NORMหรือ SATISFACTION LEVEL]ที่กำหนดไว้เป็นบรรทัดฐาน
2.ข้อมูล[DATA]หรือสารสนเทศ [INFORMATION]หรือดัชนี [INDICATOR] ที่เก็บมาได้
3.ค่าที่ได้จากการลบตัวเลขระหว่างเกณฑ์ (ในข้อ1)กับข้อมูลที่เก็บมาได้ในข้อ 2
4.แล้วนำค่าที่ได้จากข้อ 3 ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน [STANDARD LEVEL]ที่ตั้งไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว ก็จะทราบได้ว่า มีมาตรฐานระดับใด.
รูปแบบในการศึกษาวิเคราะห์
ในการศึกษาครั้งสำคัญนี้ ผู้เขียนตั้งใจจะนำเสนอใน 6 ประเด็นหลักคือ
1.นำเสนอสภาพปัจจุบันในรูปของข้อมูลเป็นตาราง
2.จัดกระทำเป็นแผนภูมิ [GRAPH]
3.วิเคราะห์ข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบด้วยการอธิบาย/ขยายความ ตามสูตร P=C-F
4.ชี้ประเด็นที่เป็นปัญหา/จุดที่ยังไม่น่าพอใจ
5.ชี้โอกาสการเพิ่มศักยภาพการพัฒนาในประเด็นปัญหานั้นๆ
6.การสร้างนวัตกรรม /แนวคิด /ทฤษฏี เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
ซึ่ง ศักยภาพ ให้หมายถึงขีดความสามารถในการลดช่องว่าง[GAP]ระหว่างเกณฑ์[CRITERIA]กับสภาพจริง [FACT]
และ การเพิ่มศักยภาพ ก็ให้หมายถึงการใส่ทรัพยากรการบริหารจัดการ[ADMIINISTRATIVE RESOUCES]เข้าไปในระบบ [SYSTEM APPROACH]คือ ปัจจัย[INPUT] กระบวนการ [PROCESS] เพื่อส่งให้เกิดผลผลิต [OUTPUT]และผลลัพท์[OUTCOME]ของการพัฒนาใดๆได้ตามเกณฑ์หรือมาตรฐาน[STANDARD LEVEL]ที่กำหนดไว้
อธิบาย
1. หากได้พิจารณาร่วมกันด้วย FGD.Technique ก็จะเกิดความถูกต้อง สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ปัญหา/จุดที่ยังไม่พอใจ (ด้วยสูตร P = C – F)
2. หากได้พิจารณาร่วมกันด้วย FGD.Technique ก็จะเกิดความถูกต้อง สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
การเพิ่มศักยภาพ
3. หากได้พิจารณาร่วมกันด้วย FGD.Technique ก็จะเกิดความถูกต้อง สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
สร้างนวัตกรรม/ทฤษฏี/แนวคิด
4. หากได้พิจารณาร่วมกันด้วย FGD.Technique ก็จะเกิดความถูกต้อง สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ผู้ศึกษา วิเคราะห์ …………………………
ผู้รับรอง ..………………………..
วัน/เดือน/ปี ………………………….
*************************
ไม่มีความเห็น