การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎ๊ฐานราก


การวิจัยทฤษฎีฐานราก

ทฤษฎีฐานราก   grounded theory คือ ทฤษฎีที่ได้จากการศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคม เป็นทฤษฎีที่มีคุณลักษณะเฉพาะที่ถูกสร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่เป็นไปตามปรากฏการณ์จริงมากที่สุด โดยทฤษฎีนี้ถูกค้นพบ พัฒนา และได้รับการตรวจสอบ (verify) จากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์นั้นๆอย่างเป็นระบบ

grounded theory method  เป็นวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพที่ถูกพัฒนาขึ้นในสาขาสังคมวิทยา โดย Barney Glaser กับ Anselm Strauss (1967) เพื่อสร้างคำอธิบายเชิงทฤษฎีจากข้อมูลโดยตรง  วิธีวิทยาของการสร้างทฤษฎีฐานรากพัฒนาขึ้นมาจากความเชื่อพื้นฐานที่ว่า การจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์และการอยู่รวมกันของมนุษย์ จำเป็นต้องเข้าใจถึงกระบวนการที่บุคคลได้สร้างความหมายให้กับสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เพราะความคิดและการกระทำของมนุษย์มีพื้นฐานที่สำคัญอยู่ที่ความหมายที่ตนมีต่อสิ่งต่างๆ วิธีวิทยาแบบนี้จึงเน้นที่การศึกษาปรากฏการทางสังคม โดยยึดหลักของการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาสร้างมโนทัศน์ หาความเชื่อมโยงระหว่างมโนทัศน์ ต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีของปรากฏการณ์ทางสังคมที่ต้องการหาคำอธิบาย

หลักการสร้างทฤษฎีฐานราก คือ 1) ผู้วิจัยต้องมีความไวเชิงทฤษฎี (theoretical sensitivity) ต่อการที่จะคิดและศึกษาข้อมูลในลักษณะที่จะนำไปสู่การสร้างมโนทัศน์และทฤษฎี ในทุกขั้นตอนของการวิจัย  2) ผู้วิจัยต้องทำงานใกล้ชิดกับกระบวนการวิจัยทุกขั้นตอน  3)  กระบวนการสร้างทฤษฎีฐานราก  เน้นการเข้าถึงข้อมูล การเก็บข้อมูล การตีความข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่จะนำไปสู่การสร้างทฤษฎีที่เหมาะสม 4) การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานรากถือว่า มโนทัศน์ สมมติฐาน และกรอบแนวคิดสำหรับการอธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาจะต้องมาจากข้อมูลโดยตรง และ 5) ทฤษฎีที่ได้มาด้วยวิธีวิจัยแบบทฤษฎีฐานราก ถือเป็นทฤษฎีที่นักวิจัยสร้างขึ้นมาจากข้อมูลโดยตรง และเป็นทฤษฎีที่มุ่งหาคำอธิบายให้แก่ปรากฏการณ์ที่นักวิจัยเลือกมาศึกษาเป็นหลัก

ขั้นตอนสำคัญของการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก มีขั้นตอนสำคัญ สรุปได้ดังนี้ 1)  นักวิจัยต้องมีคำถามสำหรับการวิจัยที่ชัดเจนก่อนว่าอยากรู้อะไร เพราะคำถามการวิจัยจะเป็นแนวทางในการออกแบบกลุ่มตัวอย่างที่จะศึกษาได้อย่างเหมาะสม 2) นักวิจัยอาจใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ และอาจใช้เทคนิคทุกอย่างที่เหมาะสมและเข้าข่าย เพื่อการรวบรวมข้อมูล 3) กระบวนการเก็บข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลชุดแรก ผู้วิจัยจะต้องเริ่มศึกษาข้อมูลที่ได้มา สร้างมโนทัศน์จากข้อมูลและเชื่อมโยงมโนทัศน์ต่างๆตามที่ปรากฏในข้อมูล แล้วสร้างสมมติฐานชั่วคราวแล้วจึงตัดสินใจว่าจะนำสมมติฐานนี้ไปใช้กับข้อมูลใด การเลือกเก็บข้อมูลต่อไปจะเกิดจากข้อคำถามที่ผู้วิจัยมีต่อข้อสรุปเชิงทฤษฎีชั่วคราวที่ได้มาในตอนแรก 4) การสร้างสมมติฐานชั่วคราวเป็นขั้นตอนสำคัญของการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก เป็นความพยายามที่จะตรวจสอบกรอบของทฤษฎีที่ได้มาว่ามีความสมบูรณ์เพียงพอหรือไม่ สมมติฐานหรือกรอบแนวคิดที่ได้ในขั้นตอนนี้จะต้องถูกตรวจสอบกับข้อมูลชุดใหม่ซึ่งนักวิจัยจะรวบรวมมาจากกลุ่มตัวอย่าง ที่จะเลือกมาเพื่อการตรวจสอบและปรับปรุงสมมติฐานที่ได้ในเบื้องต้นโดยเฉพาะ ข้อมูลที่รวบรวมใหม่อาจให้มโนทัศน์ใหม่ ส่งผลให้ต้องปรับสมมติฐานและกรอบแนวคิดตามไปด้วย มโนทัศน์ สมมติฐาน และกรอบแนวคิดที่ปรับใหม่นี้จะต้องถูกนำไปตรวจสอบกับข้อมูลซึ่งจะต้องรวบรวมมาใหม่อีก ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนไม่มีความจำเป็นที่จะปรับปรุงสมมติฐานและกรอบแนวคิดอีกต่อไป เรียกว่า จุดอิ่มตัว (salutation) และ 5) เมื่อถึงจุดอิ่มตัวแล้วหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สมมติฐานไม่ได้ถูกท้าทายจากข้อมูลใหม่ และไม่ม่ความจำเป็นจะต้องปรับอีกต่อไป นักวิจัยจึงจะหยุดการเก็บข้อมูลและเริ่มขั้นตอนต่อไปในกระบวนการวิจัย คือ การหาข้อสรุปหรือคำอธิบายเชิงทฤษฎีของสิ่งที่ศึกษา ซึ่งอาจเป็นคำอธิบายหรือกรอบแนวคิดทางทฤษฎี ซึ่งถือเป็นขั้นสุดท้ายของการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก  ซึ่งจะเห็นได้ว่า ลักษณะสำคัญของวิธีดำเนินการวิจัยแบบนี้ เรียกได้ว่า วิธีอุปนัย (inductive approach) คือ เริ่มจากข้อมูลจากตัวอย่างที่เจาะจงเลือกมาจำนวนหนึ่ง  แล้วจึงวิเคราะห์หาข้อสรุป หรือคำอธิบายเชิงทฤษฎีที่มีลักษณะทั่วไปของข้อมูลนั้น

การวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก  นักวิจัยใช้การกำหนดรหัส (coding) เป็นเครื่องมือในการจำแนกข้อมูล การกำหนดรหัสคือการแตกข้อมูล(เชิงคุณภาพ) ออกเป็นหน่วยย่อยหลายๆหน่วย เพื่อที่นักวิจัยจสามารถจัดการกับข้อมูลได้สะดวก  หน่วยย่อยแต่ละหน่วยนั้นจะถูกให้สัญลักษณ์เป็นรหัส(ชื่อ) มักจะต้องมีโครงสร้างที่ทำหน้าที่เสมือนกรอบกว้างๆ และในกระบวนการกำหนดรหัสนั้น นักวิจัยจะต้องทำสองอย่างไปพร้อมๆกัน คือ 1) อ่านข้อมูลอย่างพินิจพิเคราะห์ เพื่อมองหามโนทัศน์ (concept) หรือแนวความคิดที่บ่งนัยอยู่ในข้อความนั้น และ 2) เปรียบเทียบ มโนทัศน์ ที่ปรากฏอยู่ในข้อความหนึ่ง กับมโนทัศน์ในข้อความอื่นที่เหลือ เพื่อให้สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่บ่งบอกอยู่ในข้อความเหล่านั้นหมายถึงสิ่งเดียวกัน เรื่องเดียวกัน หรือหมายถึงคนละเรื่องกัน ข้อความที่มีความหมายเดียวกันจะถูกกำหนดรหัสเป็นตัวเดียวกัน และที่มีความหมายต่างกันก็จะให้รหัสต่างกัน

การนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล   โปรแกรม Atlas/ti  เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ถูกคิดค้นเพื่อให้สามารถนำมาใช้ช่วยในการตีความข้อความอักษร เป็นโปรแกรมที่มีประโยชน์และเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก เพราะช่วยในการวิเคราะห์เชิงคุณภาพที่ได้รับความนิยามสูง อย่างไรก็ตาม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ไม่ใช่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลแต่นำมาใช้เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยยังคงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์และตีความหมายข้อมูล

ในการทำวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก มีสิ่งที่ผู้วิจัยพึงทำความเข้าใจไว้ล่วงหน้า อาทิเช่น เมื่อไรควรใช้วิธีการวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก  การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก เริ่มต้นจากข้อมูลแล้วไปสู่สมมติฐาน และจบลงด้วยทฤษฎีที่เป็นคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์ที่ศึกษา นักวิจัยจะสร้างมโนทัศน์และกรอบแนวคิดทฤษฎ๊ขึ้นมาจากข้อมูลได้อย่างไร นักวิจัยจะต้องตรวจสอบมโนทัศน์และทฤษฎีที่สร้งขึ้นกับข้อมูลใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัว นักวิจัยต้องวินิจฉัยว่าแค่ไหนถือว่าถึงจุดอิ่มตัว และการเลือกตัวอย่างพื่อหาข้อมูลมาตรวจสอบทฤษฎีที่นักวิจัยสร้างขึ้น เป็นสิ่งที่ยากและท้าทาย

Strauss and Corbin (1998) ได้กำหนดเกณฑ์การประเมินงานวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก ไว้สองด้านพอสรุป ได้ดังนี้  ด้านที่ 1 ด้านกระบวนการวิจัย  พิจารณาจากองค์ประกอบของกระบวนการวิจัย ตามเกณฑ์ 7 ข้อ  และด้านที่ 2 ด้านฐานรากเชิงประจักษ์ของการวิจัย พิจารณาตามเกณฑ์ 8 ข้อ

สรุป  การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานราก เป็นวิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพที่เริ่มต้นจากข้อมูลแล้วไปสู่สมมติฐานและจบลงด้วยทฤษฎีที่เป็นคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์ที่ศึกษา นักวิจัยจะต้องสร้างมโนทัศน์ สมมติฐาน และกรอบแนวคิดสำหรับอธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษา กระบวนการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลจะดำเนินไปพร้อมๆกัน ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมในเรื่องที่ศึกษาอย่างรอบด้าน  ทฤษฎีที่สร้างขึ้นสามารถใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เฉพาะเจาะจง  ด้วยเหตุดังกล่าว การวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีฐานรากจึงเป็นกระบวนการศึกษาที่มีความท้าท้ายและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างองค์ความรู้ใหม่

 

หมายเลขบันทึก: 172706เขียนเมื่อ 24 มีนาคม 2008 15:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 00:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

เรียนอาจารย์ที่เคารพ

ผมสนใจเกี่ยวกับทฤษฎีฐานรากมากครับ อาจารย์มีฉบับภาษาไทยที่จำหน่ายหรือเผยแพร่ ไหมครับ ถ้ามี จะติดต่อที่ใด ขอบคุณครับ

กีรติ

สวัสดีค่ะ

ผ่านมาพบบล๊อกของท่านรองค่ะ พอดีว่าเคยเป็นนักศึกษาฝึกสอนที่โรงเรียนชุมพลค่ะ

ตอนนี้กำลังศึกษาต่อ ปอ โทร สาขาการจัดการหลักสูตร มีการบ้านค่ะคือให้ไปสรุปทฤษฎีฐานรากและก็ต้องไปแปลบทความวิชาการในวารสารวิจัยบริหารของ มข อีกค่ะ

ถือว่าเหนื่อยนะค่ะเพราะเป้นภาษาอังกฤษล้วน

เรียนอาจารย์ที่เคารพ

ผมสนใจเกี่ยวกับทฤษฎีฐานรากมากครับ เพราะจะทำวิจัยเกี่ยวกับทฤษฎีฐานราก อาจารย์มีฉบับภาษาไทยที่จำหน่ายหรือเผยแพร่ ไหมครับ ถ้ามี จะติดต่อที่ใด แนะนำด้วย ขอบคุณครับ

นายเชิดชาย ชูช่วยสุวรรณ

สวัสดีครับผมมีความสนใจในเรื่องราวของทฤษฎีฐานรากหรืออื่นๆที่สามารถให้แง่มุมของการสะท้อนความจริงที่ปรากฏ จากรูปแบบการวิจัยของเดิมที่คอยแต่จะตอบคำถามว่าเท่าไหร่/อย่างไรแต่ไม่เคยค่อยได้เห็นที่หาคำถามต่อเนื่องจากคำตอบ/สิ่งที่ปรากฏ ขอบคุณล่วงหน้าครับ ผมอยู่วิทยาลัยชุมชนพิจิตรครับ

เรียนอาจารย์ที่เคารพ

ผมกำลังสนใจที่จะศึกษาทฤษฎีฐานราก ขอคำชี้แนะในการศึกษา เพื่อนำไปใช้ในการทำวิจัยเชิงคุณภาพ ในลำดับต่อไป มีหนังสือ/เอกสารภาษาไทยให้อ่านบ้างไหมครับ โปรดแนะนำแหล่ง/สถานที่ด้วย ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะ

ดิฉันกำลังทำวิจัยในบริบทของเกษตรกรไทยโดยการสร้างทฤษฎีฐานราก เมื่อได้เข้ามาอ่านงานของอาจารย์ทำให้เห็นกระบวนการ

ขั้นตอนต่างๆ ในการทำวิจัยซึ่งช่วยให้ดิฉันได้เกิดความเข้าใจได้เป็นอย่างมาก ต้องขอขอบคุณอีกครั้ง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท