ประเด็นใหม่ในพรบ.การทำงานของคนต่างด้าวฉบับใหม่
พรบ.การทำงานคนต่างด้าวฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ และมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งจะพบว่าพรบ. ฉบับใหม่จะมีลักษณะที่แตกต่างจากเดิมตามประเด็นที่พอสังเกตได้ดังนี้
๑. ลักษณะของการกำหนดอาชีพที่อนุญาตให้ทำงานได้จากเดิม "ทำได้ทุกอาชีพยกเว้นบางอาชีพที่จะประกาศไม่ให้ทำ" เป็น "ไม่สามารถทำงานได้เลย ยกเว้นที่จะประกาศอนุญาตให้ทำได้บางประเภท"[1]
"มาตรา ๗ งานใดที่คนต่างด้าวอาจทำได้ในท้องที่ใด เมื่อใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยคำนึงถึงความมั่นคงของชาติ โอกาสในการประกอบอาชีพของคนไทย และความต้องการแรงงานต่างด้าวที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ จะกำหนดให้แตกต่างกันระหว่างคนต่างด้าวทั่วไปกับคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๔ ก็ได้
ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับการทำงานของคนต่างด้าวตามมาตรา ๑๒"
ตามมาตรา ๗ นี้เองจะเปลี่ยนรูปแบบการกำหนดงานที่อนุญาตให้คนต่างด้าวทำ โดยแต่เดิมจะมีการกำหนดอาชีพต้องห้ามที่ไม่ให้คนต่างด้าวทำ แต่ในพรบ.ฉบับนี้ จะเปลี่ยนรูปแบบใหม่ให้กลายเป็นการกำหนดอาชีพที่คนต่างด้าวสามารถทำได้
๒. มีมาตรการจำกัดแรงงานข้ามชาติที่ไม่ใช่แรงงานฝีมือ
โดยการเพิ่ม หรือกำหนดค่าธรรมเนียมการจ้างแรงงานข้ามชาติที่ไม่ใช่เป็นแรงงานฝีมือได้เป็นการเฉพาะ โดยใช้มติครม. และมีบทลงโทษของผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามโดยเสียเงินเพิ่มเป็นอีกหนึ่งเท่า (ม.๘)
"มาตรา ๘ เพื่อประโยชน์ในการจำกัดจำนวนคนต่างด้าวซึ่งมิใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานบางประเภทหรือบางลักษณะในราชอาณาจักร รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจ้างคนต่างด้าวซึ่งมิใช่ช่างฝีมือหรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานตามประเภทหรือลักษณะที่กำหนดในราชอาณาจักรก็ได้
ผู้ใดประสงค์จะจ้างคนต่างด้าวตามวรรคหนึ่ง ให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามแบบ
ที่อธิบดีกำหนดและชำระค่าธรรมเนียมก่อนทำสัญญาจ้างไม่น้อยกว่าสามวันทำการ
ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติในวรรคสอง ต้องเสียเงินเพิ่มอีกหนึ่งเท่าของค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระ"
๓. เพิ่มการอนุญาตให้จ้างแรงงานข้ามชาติแบบไป-กลับหรืองานตามฤดูกาลในพื้นที่ชายแดนหรือพื้นที่ต่อเนื่องกับพื้นที่ชายแดนได้
พรบ.ฉบับนี้อนุญาตให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทยสามารถขออนุญาตทำงานในลักษณะไป-กลับ หรืองานตามฤดูกาล โดยใช้เอกสารแทนหนังสือเดินทาง (อาจจะเป็นหนังสือข้ามแดน - Border Pass) และขอรับใบอนุญาตทำงาน โดยให้มีมติคณะรัฐมนตรีอนุญาต (ม.๑๔)
"มาตรา ๑๔ คนต่างด้าวซึ่งมีภูมิลำเนาและเป็นคนสัญชาติของประเทศที่มีชายแดน
ติดกับประเทศไทย ถ้าได้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมีเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางตามกฎหมาย
ว่าด้วยคนเข้าเมือง อาจได้รับอนุญาตให้ทำงานบางประเภทหรือลักษณะงานในราชอาณาจักร
เป็นการชั่วคราวในช่วงระยะเวลาหรือตามฤดูกาลที่กำหนดได้ ทั้งนี้ เฉพาะการทำงานภายในท้องที่
ที่อยู่ติดกับชายแดนหรือท้องที่ต่อเนื่องกับท้องที่ดังกล่าว
คนต่างด้าวซึ่งประสงค์จะทำงานตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงาน
ชั่วคราวพร้อมกับแสดงเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางต่อนายทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียม
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ในการออกใบอนุญาต ให้นายทะเบียนระบุท้องที่หรือสถานที่ที่อนุญาตให้ทำงาน
ระยะเวลาที่อนุญาตให้ทำงาน ประเภทหรือลักษณะงาน และนายจ้างที่คนต่างด้าวนั้นจะไปทำงานด้วย
ทั้งนี้ ตามแบบและวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
ความในมาตรานี้จะใช้บังคับกับท้องที่ใด สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติใด เพื่อทำงาน
ประเภทหรือลักษณะใด ในช่วงระยะเวลาหรือฤดูกาลใด โดยมีเงื่อนไขอย่างใด ให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา"
๔. มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการส่งคนต่างด้าวกลับออกไปนอกราชอาณาจักร (ตามหมวด ๒)
โดยจะให้นายจ้างหักเงินค่าจ้างจากลูกจ้างและนำส่งเข้ากองทุน โดยจำนวนเงิน วิธีการ หลักเกณฑ์และระยะเวลาให้กำหนดไว้ในกฎกระทรวง (ม. ๑๕- ๒๐) ซึ่งเท่ากับว่าจะค่าใช้จ่ายที่ระบุชัดเจนว่าแรงงานข้ามชาติ จะต้องจ่ายสมทบเข้ากองทุนเป็นเงินเท่าไหร่ โดยแรงงานที่เดินทางกลับบประเทศด้วยค่าใช้จ่ายของตนเองก็จะสามารถขอรบัเงินกองทุนนี้คืน พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยจะได้รับคืนภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ยื่นขอรับเงินกองทุนคืน โดยต้องยื่นภายในเวลาสองปี
โดยการบริหารกองทุนดังกล่าวจะมีกรรมการกองทุน (ม.๓๒) เป็นผู้บริหารจัดการกองทุนดังกล่าว
๕. กำหนดอายุของใบอนุญาตทำงานใหม่
โดยให้ใบอนุญาตทำงานมีอายุไม่เกินสองปี (ม.๒๑) และอนุญาตให้ต่อไปอนุญาตทำงานไม่เกินครั้งละ ๒ ปีตามความจำเป็นเพื่อป้องกันการตั้งถิ่นฐาน ส่วนแรงงานกลุ่มที่ถูกเนรเทศแต่อนุญาตให้ทำงานชั่วคราว และแรงงานหลบหนีเข้าเมืองแต่ได้รับอนุญาตให้ทำงาน จะมีระยะเวลาในการทำงานรวมแล้วต้องไม่เกิน ๔ ปี เว้นแต่จะมีมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นอย่างอื่น (ม.๒๓)
๖. แรงงานข้ามชาติสามารถเปลี่ยนย้ายงาน นายจ้าง และสถานที่ทำงานได้
ในพรบ.ฉบับนี้แรงงานสามารถเปลี่ยนงาน นายจ้าง ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน หรือเงื่อนไขการทำงาน โดยต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน (ม.๒๖) ซึ่งแต่เดิม แรงงานสามารถเปลี่ยนได้เฉพาะท้องที่ สถานที่ และประเภทงานเท่านั้น
"มาตรา ๒๖ ผู้รับใบอนุญาตต้องทำงานตามประเภทหรือลักษณะงาน และกับนายจ้าง ณ ท้องที่หรือสถานที่และเงื่อนไขตามที่ได้รับอนุญาต
ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดประสงค์จะเปลี่ยนหรือเพิ่มประเภทหรือลักษณะงาน นายจ้าง
ท้องที่หรือสถานที่ทำงาน หรือเงื่อนไข ต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน
การขออนุญาตและการอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด
ในกฎกระทรวง"
๗. มีการจัดตั้งกรรมการขึ้นมาใหม่สองชุด เพื่อให้สอดคล้องกับการพิจารณาการจ้างแรงงาน คือ
คณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว (ตามหมวด ๓) โดยทำหน้าที่ในเชิงการกำหนดนโยบายเรื่องการทำงานของคนต่างด้าว และเสนอแนะให้รัฐบาลออกประกาศ กฎกระทรวงระเบียบตามพรบ.นี้ นอกจากนั้นแล้วยังทำหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของกรมการจัดหางานตามพรบ.นี้ และติดตามการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของคนต่างด้าวตามนโยบายของรัฐบาล
คณะกรรมการพิจารณอุทธรณ์การทำงานของคนต่างด้าว (ตามหมวด ๔) ซึ่งจะทำหน้าที่พิจารณาคำอุธรณ์กรณีที่แรงงานข้ามชาติร้องเรียนในเรื่องที่เจ้าหน้าที่ ไม่อนุญาตให้ทำงาน ไม่ต่อใบอนุญาตทำงาน หรือเพิกถอนใบอนุญาตทำงาน
โดยทั้งสองชุดมีตัวแทนขององค์กรนายจ้างและองค์กรลูกจ้างเข้าไปเป็นคณะกรรมการด้วย[2]
๘. เพิ่มอำนาจหน้าที่ให้อธิบดี นายทะเบียน และพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเพิ่มขึ้น ในสองประเด็น คือ
๙. เพิ่มบทลงโทษต่อนายจ้างและแรงงานข้ามชาติที่ทำผิดหรือไม่ปฏิบัติตามพรบ.นี้เพิ่มมากขึ้น หรือมีวิธีปฏิบัติที่ต่างจากเดิม
[1] คุณสุรพงษ์ กองจันทึก ช่วยแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นนี้ให้ ช่วยทำให้เห็นความแตกต่างของประเด็นระหว่างพรบ.ฉบับเดิมกับฉบับใหม่ให้ชัดเจนมากขึ้น ต้องขอขอบคุณคุณสุรพงษ์อย่างมากเลยครับ
[2] ข้อสังเกตนี้เป็นความเห็นเพิ่มเติมจากคุณสุรพงษ์ กองจันทึก เช่นเดียวกัน แต่เดิมคณะกรรมการพิจารณาการทำงานของคนต่างด้าว ไม่มีตัวแทนของทั้งสองส่วนที่ระบุชัดเจนในกฎหมาย แต่กฎหมายใหม่ระบุไว้ชัดเจนว่าต้องมีตัวแทนจากสององค์กรนี้
[3] ข้อนี้หลายท่านที่ติดตามเรื่องการทำงานของคนต่างด้าว โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ พม่า ลาว และกัมพูชาอาจจะสงสัยในปัจจุบันก็มีการดำเนินการตามนี้อยู่แล้ว (ใหม่ตรงไหน?) ขอชี้แจง (ตามความเข้าใจ) ว่า ข้อปฏิบัติที่ใช้ในปัจจุบันนั้น เป็นการให้อำนาจเจ้าพนักงานตามพรบ.คนเข้าเมือง ไม่ใช่ตามพรบ.การทำงานของคนต่างด้าว แต่ในฉบับระบุชัดให้สามารถใช้อำนาจนี้ตามพรบ.การทำงานของคนต่างด้าวได้เลย (คำชี้แจงเพิ่มเติมประเด็นนี้ก็เกิดจากการตั้งข้อสังเกตของคุณสุรพงษ์ อีกครั้ง)
* แต่เดิมผมตั้งใจทำเอกสารชุดนี้เพื่อชี้ข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดของความแตกต่าง และสิ่งใหม่ของพรบ.การทำงานของคนต่างด้าวฉบับใหม่ เพื่อให้เพื่อนมิตรที่ทำงานด้วยกันได้เห็นถึงข้อแตกต่าง แต่เมื่อเข้ามาดูใน Gotoknow ก็เห็นว่าหลายท่านสนใจเรื่องนี้ จึงนำมาเสนอใน blog ของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน อย่างไรก็ดี ข้อสังเกตนี้เป็นเพียงข้อสังเกตของผมที่มีมุมมองค่อนข้างจะจำกัด คือมองแต่กลุ่มที่เป็นแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน ยังไม่ได้มองไปถึงแรงงานฝีมือจากประเทศอื่นๆ และไม่ได้ตั้งข้อสังเกตุล่วงไปเลยไปยังกลุ่มคนต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทยมากนัก จึงคิดว่าเป็นการดีที่มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมกัน
ต้องขอขอบคุณ อาจารย์แหววที่ช่วยทำให้ผมได้มีมุมมองทางด้านกฎหมาย แต่ผมกับซึมซับได้เพียงน้อยนิดจากอาจารย์ ทุกท่านสามารถเข้าไปดู พรบ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 ได้จากบันทึกของอาจารย์แหววที่ http://gotoknow.org/file/archanwell/view/154279
ขอบคุณคุณ จุฬาวุฒิ ที่ตั้งประเด็นจุดประกายให้ผมได้นำข้อเขียนนี้มาเผยแพร่ต่อ จากบันทึก http://gotoknow.org/blog/foreigner-working-law/167744
ขอบคุณมากครับ ผมได้นำไปเปนเอกสารอ้างอิงการบ้านของผม มีประโยชน์มากครับ