ระบบสารสนเทศเพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
สถานศึกษาที่มีระบบสารสนเทศที่สมบูรณ์ ครบถ้วน เป็นปัจจุบันเรียกใช้ได้สะดวกและตรงตามความต้องการ จะช่วยให้สถานศึกษาสามารถดำเนินงานพัฒนาคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการสร้างความมั่นใจที่ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักวิชา หลักฐานข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้ มีกระบวนการวิเคราะห์และประมวลผลที่เป็นวิทยาศาสตร์ หลักตรรกและความสมเหตุสมผล เพราะสารสนเทศทั้งหลายนั้นนอกจากจะใช้ในการวางแผนการดำเนินงานและประกอบการตัดสินใจแล้ว ยังนำไปสู่การพัฒนาแนวความคิด และสร้างทางเลือกใหม่ๆ ในการดำเนินการต่างๆ ทั้งนี้สารสนเทศที่มีคุณภาพจะต้องมีคุณภาพ ทั้งในด้านความถูกต้อง มีความเป็นปัจจุบัน สามารถตอบสนองผู้ใช้ได้ ทันเหตุการณ์ จึงควรคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้
ผู้ใช้ระบบสารสนเทศ |
ระดับการนำไปใช้ |
1. คณะกรรมการสถานศึกษา/ ที่ปรึกษา |
วางแผนยุทธศาสตร์ |
2. ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้ช่วยผู้บริหาร |
วางแผนการบริหารทั้งองค์กร |
3. หัวหน้ากลุ่มงาน/กลุ่มสาระการเรียนรู้/โครงการ |
วางแผนปฏิบัติการ |
4. ผู้สอน / ผู้สนับสนุนการสอน |
วางแผนปฏิบัติการสอน |
ซึ่งผู้ใช้สารสนเทศในระบบสารสนเทศทุกฝ่ายจะต้องศึกษาข้อมูลที่ต้องการแล้วนำมาใช้ในการวางระบบ(P) เป็นขั้นตอนแรกตามวงจร PDCA ของแต่ละกิจกรรมการบริหารของสถานศึกษาตั้งแต่การวางแผนยุทธศาสตร์ การวางแผนการบริหารทั้งองค์กร การวางแผนปฏิบัติการและการวางแผนปฏิบัติการสอน กล่าวได้ว่าเมื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ใช้ข้อมูลในระบบสารสนเทศอย่างจริงจังแล้วย่อมส่งผลให้สถานศึกษามีคุณภาพตามมาตรการศึกษาที่กำหนดไว้
ในปัจจุบันกล่าวได้ว่าอิทธิพลของเทคโนโลยีสมัยใหม่(ระบบสารสนเทศ) ดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้การจัดการศึกษาเพื่อบรรลุอุดมการณ์ทางการศึกษาตลอดชีวิต(ในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย) ต้องมีการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย โดยมีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ในหมวดที่ 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ดร.สมเดช สีแสง 2549: 43) ที่กำหนดให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทยทั้งการศึกษาในระบบการศึกษา การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยภาพรวมแล้ว การดำเนินการดังกล่าวจะมีความชัดเจน เด่นชัดในการจัดการศึกษาในระบบการศึกษา(การศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาระดับอุดมศึกษา) และ การศึกษานอกระบบ(การศึกษานอกโรงเรียน: กศน.) ส่วนการศึกษาตามอัธยาศัยนั้นยังไม่ปรากฎการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร กล่าวได้ว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่มีบทบาทสำคัญในฐานะการเป็นสื่อการเรียนการสอนให้ผู้เรียนทุกระดับได้ใช้ในการสืบค้นหาความรู้ ประเด็นที่สนใจ ตอบสนองศักยภาพของแต่ละบุคคล ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการจัดการเรียนรู้ระหว่างครู - อาจารย์กับนักเรียน นิสิต - นักศึกษา ทำให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะกระบวนการและเจคติ คุณธรรมและจริยธรรมได้(เก่ง ดี และมีความสุข) ส่งผลให้ผู้เรียนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศชาติและโลกเพื่อการพัฒนาด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจัยและการพัฒนาต่าง ๆ
ดังนั้นการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้นั้นต้องนำระบบสารสนเทศมาบริหารจัดการสถานศึกษาให้มีคุณภาพ และต้องคำนึงถึงความหมายของบุคคลแห่งการเรียนรู้ด้วย กล่าวคือ หมายถึง ผู้ที่มีคุณลักษณะนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความกระตือรือร้น สนใจเสาะแสวงหาความรู้อยู่เสมอ มุ่งมั่นที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และสามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม การเรียนรู้อาจทำได้หลายวิธี เช่น อ่านหนังสือหรือวารสารที่มีประโยชน์ ดูรายการ โทรทัศน์หรือฟังวิทยุที่มีสาระ ค้นคว้าหาความรู้โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซักถามข้อมูลจากผู้รู้ รวมทั้งสามารถจับใจความสำคัญเพื่อแยกแยะและเลือกสาระข้อมูลที่ได้มาอย่างมีเหตุผล ทักษะพื้นฐานสำคัญต่อการเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ได้แก่
1. ทักษะการฟัง ทำให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการคิดและการพูด
2. ทักษะการถาม ทำให้เกิดประบวนการคิด การเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ เนื่องจากคำถามที่ดีทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ตั้งแต่ระดับการจำไปจนถึงระดับวิเคราะห์และประเมินค่า
3. ทักษะการอ่าน ทำให้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนอกจากจะเป็นทักษะการอ่านข้อความ จะรวมถึงการอ่านสถิติ ข้อมูลเชิงคณิคศาสตร์ต่างๆด้วย
4. ทักษะการคิด ทำให้บุคคลมองการไกล สามารถควบคุมการกระทำของตนให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ การคิดอย่างมีเหตุผลและมีวิจารณญาณ มีผลต่อการเรียนรู้ การตัดสินใจ และการแสดงพฤติกรรม
5. ทักษะการเขียน เป็นความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ทัศนคติ และความรู้สึกออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้อื่นเข้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อวงการศึกษา(การหาความรู้) เนื่องจากบันทึกเหตุการณ์ ข้อมูล ความจริง ใช้เป็นหลักฐานเพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป
6. ทักษะการปฎิบัติ เป็นการลงมือกระทำจริงอย่างมีระบบเพื่อค้นหาความจริง และสามารถสรุปผลอย่างมีเหตุผลได้ด้วยตนเองเพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหา
สถานศึกษาจึงต้องบริหารจัดการอย่างเต็มศักยภาพเพื่อพัฒนา ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้อย่างมีความสุขและเกิดการพัฒนาเต็มตามศักยภาพสู่...การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์(เก่ง ดีและมีความสุข)
ไม่มีความเห็น