บันทึก...เรื่อง 30 บาท ของโกโม..
โดย พัฒนพันธ์ บูระพันธ์[1] (รวบรวมข้อมูล) ปิ่นแก้ว อุ่นแก้ว (เรียบเรียงเรื่องราว) เขียนวันที่ 31 มกราคม 2551 /เพิ่มเติม 14 กุมภาพันธ์ 2551 ......................................................................................................................................................
โกโม พูดไทยได้เพียงเล็กน้อยต้องมีล่ามทุกครั้งในการสื่อสาร ไม่เข้าใจขั้นตอนการขอรับการรักษาพยาบาล และการส่งต่อ แต่โกโมรับรู้ว่าตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้และหมอยังไม่มีคำตอบว่าจะผ่าตัดให้อาการบาดเจ็บทุเลาเมื่อไหร่"
เรื่องของโกโม โกโม(KOMO) ชายหนุ่มชาวพม่า อายุ 25 ปี เกิดและเติบโตที่เมืองพะอาง รัฐมอญ ประเทศพม่า เป็นลูกคนที่เล็กจากทั้งหมดสามคน โดยพ่อแม่มีอาชีพทำไร่อยู่ที่พม่า เขาเรียนจบชั้นม.6 แต่เนื่องจากการทำมาหากินในบ้านเกิดไม่มีช่องทาง จึงตัดสินใจเดินทางเข้ามาในเมืองไทยทางด่านอำเภอแม่สอด จ.ตาก เพื่อหางานทำ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยเสียเงินให้นายหน้าราว 13,000 บาท ซึ่งเงินหลักหมื่นกับสภาพเศรษฐกิจที่อัตคัดขัดสนในพม่า นั้นนับว่าเป็นจำนวนที่สูงเลยทีเดียวก็ว่าได้ โรงงานทอผ้า ย่านรังสิต-นครนายก มีแรงงานทั้งหมด 100 คน โดยโกโมเป็นหนึ่งในแรงงานพม่าเพียง 20 คนของโรงงาน นอกนั้นเป็นแรงงานไทย โกโมต้องทำงานใช้แรงงานเพื่อแลกค่าแรงโดยที่วุฒิม.6 จากพม่านั้นดูจะไม่มีความหมายอะไร แต่เขายังไม่โชคร้ายนักเมื่อเทียบกับแรงงานข้ามชาติจากพม่าอีกนับไม่ถ้วนที่ถูกกดขี่ค่าแรงซึ่งน้อยอยู่แล้วให้น้อยลงไปอีก โดยโกโมได้รับค่าจ้างรายวันวันละ 194 บาท เท่ากับคนงานไทย แต่ถูกเอาเปรียบค่า OT ซึ่งคนงานไทยได้รับชั่วโมงละ 25 บาท แต่คนงานพม่าได้เพียง 12 บาท สถานภาพทางกฎหมายของโกโมนั้น เขามีบัตรอนุญาตทำงาน โดยเสียเงิน 3,800 บาท เป็นค่าทำบัตรให้กับนายจ้าง แบ่งเป็นค่าตรวจสุขภาพ 600 บาท ค่าประกันสุขภาพ 1,300 บาท และขอใบอนุญาตทำงานซึ่งมีค่าใช้จ่ายอีก 1,900 บาท ซึ่งความหมายคือ โกโมจะไม่ถูกจับกุมในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังสามารถไปรับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลที่ทำประกันสุขภาพไว้ โดยเสียค่าบริการครั้งละ 30 บาท โดยนโยบายล่าสุดตามมติครม.เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2550[1] แรงงานสามสัญชาติ คือ พม่า ลาวและกัมพูชา สามารถขอต่อใบอนุญาตทำงานในช่วงเดือนมี.ค.-มิ.ย. 51 โดยจะสามารถอยู่อาศัยได้ 2 ปี จากเดิมที่อยู่ได้ปีต่อปี นอกจากนี้ตามมติครม.เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2548[2] ที่ผ่านมารัฐบาลไทยยังมีความพยายามในการปรับเปลี่ยนสถานะ "คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง" ให้เป็น "คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกฎหมาย" โดยไทยได้ทำบันทึกความเข้าใจ (MOU)กับทั้ง 3 ประเทศ ในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานกับประเทศต้นทาง สำหรับโกโม เขาเล่าว่าที่พม่าเขามีบัตรประจำตัวสีชมพูแต่ไม่ได้นำติดตัวมาที่เมืองไทยด้วย นั่นคือประเทศพม่ายอมรับและบันทึกว่าโกโมเป็นประชาชนของพม่า ซึ่งย่อมทำให้เขาไม่ตกเป็นคน "ไร้รัฐ และไร้สัญชาติ" ดังนั้นเมื่อโกโมต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติแรงงานกับประเทศพม่าในอนาคต แล้วเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมืองของพม่าเขาจะได้กลับเข้ามาเมืองไทยอีกครั้งในสถานะ “คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกฎหมาย” หากกระบวนเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ซึ่งในส่วนแรงงานพม่านั้นดูจะยังล่าช้าและไม่มีแนวทางที่ชัดเจนทำให้โกโมยังดูห่างไกลจากการจะได้รับสถานะดังกล่าว แต่หากว่าเอกสารแสดงตน คือบัตรประจำตัวใบนั้นของโกโมสูญหายไป ซึ่งมีความเป็นไปได้เช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในพม่าที่ยังไม่แน่นอนและการสู้รบในหลายพื้นที่ในพม่าที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถอยู่อาศัยในหมู่บ้านเดิมได้ รวมไปถึงระบบการทะเบียนราษฎรที่ไม่มีประสิทธิภาพ อาจจะส่งผลให้โกโมอาจจะตกอยู่ในสถานะ “คนไร้รัฐไร้สัญชาติ” ในอนาคต เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติตามมติครม. 20 ธันวาคม 2548 แล้วอาจจะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นราษฎรของประเทศพม่า ทางออกที่จะเป็นไปได้คือ โกโมจะถูกนับอยู่ในกลุ่ม “ไม่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ” เพื่อเข้าสู่กระบวนการเจรจาส่งกลับ และหากไม่สามารถส่งกลับประเทศต้นทางได้ ท้ายที่สุดโกโมจะได้รับสิทธิในการอยู่อาศัยในประเทศไทยชั่วคราวและเข้าสู่กระบวนการพิจารณากำหนดสถานะที่เหมาะสมต่อไป ตาม ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล 18 มกราคม 2548[3] ความโชคร้ายมาเยือน ราว 22.30 น. ของคืนวันที่ 28 ธันวาคม 2550 หลังจากงานเลี้ยงรับปีใหม่ของโรงงานยังไม่ทันจะข้ามคืน ระหว่างที่ โกโมเดินออกจากห้องพักบริเวณหน้าโรงงานเพื่อข้ามถนนเข้าไปหาเพื่อนในโรงงานฝั่งตรงข้ามถนน ได้ถูกรถจักรยานยนต์ที่ขับมาด้วยความเร็วชนเข้าด้านหลัง โดยตัวของโกโมลอยตกห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร และถูกรถจักรยานยนต์คันนั้นทับที่แขนอีกด้วย จนสลบในที่เกิดเหตุ โกโมรู้สึกตัวอีกทีที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ แพทย์ได้ทำการรักษาแผลเบื้องต้น และถ่ายเอกซเรย์กระดูกปรากฎว่า กระดูกแขนท่อนบนด้านซ้ายหัก และกระดูกบริเวณโคนขาหนีบด้านขวา(ใกล้กระดูกก้นกบ)มีรอยร้าวและแตก จากนั้นแพทย์ให้ออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 29 ธันวาคม 2550 เวลาราว 03.00 น. (ในช่วงเวลาเดียวกันกับวันที่เข้ารักษาตัว) และนัดอีกครั้งในวันที่ 4 มกราคม 2551 วันที่ 4 มกราคม 2551 เขาจึงไปพบแพทย์อีกครั้ง โดยครั้งนี้แพทย์ให้ความเห็นว่าต้องทำการผ่าตัดจะเป็นผลดีในการรักษา ซึ่งข้อมูลที่ทราบจากแพทย์คือ "เห็นว่านายโกโมเป็นต่างด้าวหากทำการผ่าตัดที่นี่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ควรย้ายไปรักษาต่อโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลในระบบประกันสุขภาพ 30 บาทของนายโกโม โดยได้ทำจดหมายส่งตัวให้" แต่เมื่อโกโมย้ายรักษาตัวที่โรงพยาบาลประชาธิปัตย์ แพทย์ก็ไม่รับรักษาอาการโดยให้เหตุผลว่า "เนื่องจากโรงพยาบาลเป็นสถานพยาบาลชุมชน ไม่มีเครื่องมือในการผ่าตัดได้" จึงทำจดหมายส่งตัวไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลปทุมธานี ซึ่งแพทย์ได้ทำการเอกซเรย์และพันเฝือกให้ใหม่ แต่ไม่ได้วินิจฉัยหรือแจ้งให้เขาทราบว่าต้องผ่าตัดหรือไม่ แต่ได้นัดมาพบอีกครั้งวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่ง พัฒนพันธ์ บูระพันธ์ หนึ่งในทีมทนายความจาก อาสาสมัครโครงการ Laws Awareness and Legal Aid for Burrmese Migrant Workers ภายใต้องค์กรคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในพม่า(กรพ.) ที่เข้าไปติดตามให้ความช่วยเหลือเล่าสภาพของโกโมให้ฟังว่า "ช่วงแรกนั้นอาการค่อนข้างหนัก ต้องมีคนคอยพยุงให้ลุกนั่งเพราะกระดูกหักทั้งที่แขนและที่สะโพก โกโมก็ร้อนใจอยากผ่าตัดตามที่หมอบอก แต่ด้วยการสื่อสารหรืออะไรก็ไม่แน่ชัด โกโมเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจนป่านนี้หมอยังไม่ผ่าตัดให้ ซึ่งผ่านมาร่วมเดือนแล้วอาการก็เริ่มดีขึ้นพอจะลุกนั่งเองได้ แต่หมอบอกว่าคงทำงานไม่ได้อย่างน้อยอีก 6-8 สัปดาห์" ทุกข์ซ้ำสอง...ของโกโม วันที่ 29 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา ก่อนกำหนดนัดที่โรงพยาบาลปทุมธานี 1 เดือน โกโมตัดสินใจไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติอีกครั้งซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ถูกส่งตัวไปในวันเกิดเหตุถึงแม้ว่าจะเป็นโรงพยาบาลที่เขาใช้สิทธิ 30 บาทไม่ได้ก็ตาม เหตุผลคือ โกโมรู้สึกว่าหมอที่นี่เป็นมิตรกว่าทั้ง 2 โรงพยาบาลที่เขาถูกส่งตัวไปรักษาต่อ ทั้งการวินิจฉัยที่ดูเหมือนจะจริงจังในการรักษามากกว่า ที่สำคัญที่สุดค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวทั้งหมดนับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุนั้นโกโมต้องจ่ายเองทุกบาท โดยไม่สามารถใช้สิทธิ 30 บาทได้ อย่างที่เขาไม่ทราบเหตุผลและไม่มีคำอธิบายจากโรงพยาบาล รวมแล้วกว่า 3,000 บาท ทั้งที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น โกโมควรจะเสียเงินเพียงครั้งละ 30 บาท เท่านั้น แม้แต่ค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติในคืนวันเกิดเหตุ เพราะตาม "ข้อบังคับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ว่าด้วยการใช้สิทธิเข้ารับบริการจากสถานบริการอื่น กรณีที่มีเหตุสมควร กรณีอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน พ.ศ 2548[4]" ระบุว่า “สามารถเข้ารับบริการจากสถานบริการอื่นที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการได้รวมทั้งสถานบริการเอกชน ซึ่งสถานบริการอื่นที่ให้ก่รักษามีสิทธิได้รับค่าใช้จ่ายจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับนี้” ซึ่งคงเกินการรับรู้ของโกโมต่อสิทธิที่ว่า โกโมรู้เพียงว่าเขาสามารถใช้สิทธิ 30 บาทแต่เขาใช้ไม่ได้ และเขาไม่ได้รับการผ่าตัดโดยไม่มีคำอธิบายจากแพทย์ ด้วยปัญหาในการสื่อสารของโกโมจึงทำให้การเข้าถึงสิทธิดังกล่าวไม่เป็นจริงโดยเมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลปทุมธานีแจ้งว่าไม่สามารถใช้สิทธิได้เพราะไม่ได้เป็นโรงพยาบาลที่ระบุไว้ในบัตรเขาจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งที่ตาม “มาตราการและแนวทางการดำเนินงานตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวปี 2550” ซึ่งมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ระบุไว้ถึงการส่งต่อผู้ป่วยเพื่อการรักษาระหว่างสถานพยาบาล อย่างชัดเจนว่า “กรณีที่สถานพยาบาลที่แรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนประกันตนไว้ส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลแห่งอื่นเพื่อการรักษาพยาบาลจะต้องตามจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการส่งต่อผู้ป่วยไปรักษาพยาบาล” ดังนั้นเมื่อโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่โกโมขึ้นทะเบียนประกันตนไว้ได้ทำจดหมายส่งต่อการรักษาไปยังโรงพยาบาลปทุมธานี ย่อมหมายความว่าโกโมไม่จำเป็นต้องเสียค่ารักษาพยาบาลเอง และเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในการอธิบายถึงสิทธิดังกล่าว และเอื้ออำนวยให้เขาได้เข้าถึงหลักประกันสุขภาพ แต่โรงพยาบาลทั้งสามแห่งไม่ได้ดำเนินการ ด้วยเหตุผลนานาที่เกิดขึ้นในกรณีของโกโม เป็นภาพสะท้อนหนึ่งที่ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าแรงงานข้ามชาติที่ต้องเสียเงินค่าประกันสุขภาพปีละ 1,300 บาท นั้นยังไม่สามารถเข้าถึงบริการหลักประกันสุขภาพได้จริง มุมมองจากพี่ ธนู เอกโชติ หนึ่งในทีมทนายความ คือ "หลายกรณีที่เกิดขึ้นกับแรงงานข้ามชาติคือ การไม่สามารถเข้าถึงหลักประกันสุขภาพได้จริง เริ่มตั้งแต่ที่โรงพยาบาลรักษาตามสภาพของเงิน เช่น กรณีที่โรงพยาบาลประชาธิปัตย์อ้างว่าโรงพยาบาลไม่พร้อมรักษา ก็ต้องมีกระบวนการส่งต่อไปอย่างเหมาะสมให้ผุ้บาดเจ็บได้รับการรักษาตามความเป็นจริง เพราะพอโกโมถูกส่งไปที่โรงพยาบาลปทุมธานีแล้วโรงพยาบาลก็ไม่ยอมผ่าตัดให้และไม่ได้อธิบายให้ผุ้ป่วยเข้าใจ ซึ่งถ้าในอนาคตเขาต้องพิการแขนงอ แล้วจะไปเรียกร้องกับใครได้ แล้ว 1,300 บาทที่เขาเสียไปก็ใช้ไม่ได้ " ข้อสังเกตเล็กๆจาก พัฒนพันธ์ บูระพันธ์ ที่ได้เดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลกับโกโมคือ "หมอที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯส่วนใหญ่เป็นหมอใหม่ อายุน้อย มีมนุษยสัมพันธ์ดี แต่วันนั้นที่ไปหาหมอเราไปกันตั้งแต่ 10 โมง กว่าจะได้ตรวจก็บ่ายโมงกว่า ผมเห็นคนไทยที่เขามาทีหลังได้ตรวจก่อน ส่วนโกโมได้ตรวจเป็นคนท้ายๆ ผมไม่ได้ถามหมอหรอกว่าทำไมถึงช้า " นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าแบบขำๆ ที่เจ้าตัวต้นเรื่องคงขำไม่ออก ว่า "มีคนงานโทรมาถามผมว่า 30 บาท ใช้ได้เฉพาะวันธรรมดาหรือเปล่า เพราะเขาไปหาหมอวันเสาร์อาทิตย์แล้วโรงพยาบาลบอกว่าใช้ 30 บาทไม่ได้" ผลเอกซเรย์ล่าสุด พอทำให้โกโมใจชื้นคือ กระดูกเริ่มตรงแล้วและแพทย์ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์วินิจฉัยล่าสุดว่า ไม่ต้องผ่าตัดแล้วเพราะระยะเวลาในการบาดเจ็บล่วงเลยมากว่า 1 เดือนซึ่งการผ่าตัดตอนนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก ในส่วนคดีความก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการหาผู้กระทำผิด ซึ่งทำให้โกโม ไม่สามารถใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 [5]หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าพ.ร.บ.บุคคลที่ 3 ซึ่งบริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทน นับแต่ค่ารักษาพยาบาลหรือค่าปลงศพ กำหนดไว้ไม่เกิน 50,000 บาท/คน ความเสียหายต่อร่างกายหรือนามัย 80,000 บาท/คน และความเสียหายต่อชีวิต สูญเสียอวัยวะหรือทุพลภาพแล้วแต่กรณี อีกด้วย
โอยยย ขอโทษที เอาใหม่ๆๆ
และสามารถทำงานได้ชั่วคราว ซึ่งเป็นไปตามมติครม..(ปีไหน??) , เรื่องสุขภาพฯ โอฯ ค่ะ
ล่าสุด มติครม.ธค.2550 ว่า...-อย่างที่แก้วว่า--- แล้วโกโม ไปต่ออะยัง หรือกำลังไปต่อ..