องค์การแห่งการเรียนรู้และการบริหารงานทางคลินิกที่ดี
Learning Organization and Clinical Governance
เอนก สุวรรณบัณฑิต. องค์การแห่งการเรียนรู้และการบริหารงานทางคลินิกที่ดี.
วารสารชมรมรังสีเทคนิคและพยาบาลเฉพาะทางรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษาไทย, 2550 ; 1(2): 9-14
องค์การต่างๆ ต้องการการปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขัน มุ่งเน้นการเรียนรู้แรงขับเคลื่อนทางยุทธศาสตร์ เช่น แนวทางใหม่ของการจัดการองค์การและการเรียนรู้ในที่ทำงาน การมีโปรแกรมการฝึกอบรมใหม่ ยุทธศาสตร์ในการคัดเลือกพนักงาน และแนวทางการจัดการความรู้ และการเรียนรู้เฉพาะกลุ่มอย่างต่อเนื่อง หากแต่การบูรณาการอย่างเป็นจุดๆ จะเกิดการเรียนรู้ได้ยาก (Mulholland, Zdrahal and Domingue, 2005)
แนวทางอย่างหนึ่งที่นำมาใช้กันในองค์การต่างๆ ก็คือองค์การแห่งการเรียนรู้ (learning organization) ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามมีแนวทางการจัดการองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ 3 แนวทางได้แก่ Senge (1990), Garvin (1993) และ Marquardt (1996) ดังตารางที่ 1
Senge 1990 | Garvin 1993 | Marquardt 1996 |
System thinking Shared vision Team learning Mental model Personal mastery |
Systematic problem solving Experimentation Learning from past Learning from others Transferring knowledge |
Learning subsystem Organization subsystem People subsystem Knowledge subsystem Technology subsystem |
สำหรับองค์การด้านการแพทย์ มีการนำแนวทางองค์การแห่งการเรียนรู้มาใช้ในอังกฤษ (NHS) ตั้งแต่ปี 1997 มีการพัฒนาระบบ มาตรฐานและกระบวนการเพื่อเพิ่มคุณภาพในการรักษาพยาบาลและการจัดการความเสี่ยง มุ่งเน้น ผลการทำงานแบบมืออาชีพ (professional performance) การใช้ทรัพยากร (resource management) การจัดการความเสี่ยง (risk management) และ ความพึงพอใจของผู้ป่วย (patient satisfaction) อย่างไรก็ตามแนวทางการบริหารด้านการแพทย์มักจะเป็นแบบจากบนลงล่าง (top down management) ผ่านกฎ ระเบียบและมาตรฐาน ในขณะที่องค์การแห่งการเรียนรู้จะมุ่งเน้นการบริหารแบบล่างขึ้นบน นั่นคือใช้ความรู้จากรากหญ้านำไปสู่การเปลี่ยนแปลงซึ่งต้องใช้ระดับความไว้วางใจที่สูงร่วมด้วย (Wilkinson, Rushmer and Davie, 2004) หากแต่ว่าแนวโน้มของโลกนั้นองค์การภาครัฐจะปรับตัวไปสู่องค์การแห่งการเรียนรู้ภายในปี 2010 (Vince, 2000)
สำหรับโรงเรียนแพทย์สิ่งที่เข้ามากระทบก็คือการเรียนรู้ในองค์การเกิดได้น้อยเนื่องจากผลกระทบจากกระบวนการด้านการบริการวิชาการ การลดลงของความเป็นมืออาชีพ(deprofessionalization) การอ้างอิง evidence based ที่น้อย ดังนั้นแนวทางที่ควรสร้างก็คือการสร้างชุมชนนักปฏิบัติ (community of practise) การจัดให้มีความพร้อมในทักษะที่จำเป็น (equipping with survival skills) ใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า (better use of the clinical environment and resources) และต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (expertise in using information technology) องค์การต้องจัดโครงสร้างทางการแพทย์ให้มีสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นคุณค่าความเป็นมืออาชีพและใช้อย่างเป็นประโยชน์ที่สุด และ ลงทุนในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ (Gordon, Hazlett, Cate et al, 2000) องค์การทางการแพทย์ เช่น NHS เน้นว่าองค์การต้องปรับรูปแบบการเรียนรู้จากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (single loop learning) ให้เป็นการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (double loop learning) และการศึกษาแนวทางการเรียนรู้ในองค์การ (meta-learning : deutero) ซึ่งจะนำไปสู่การให้คำจำกัดความใหม่แก่เป้าหมายขององค์การ ธรรมเนียมปฏิบัติ นโยบาย กระบวนการทำงาน และโครงสร้างต่างๆ องค์การต้องใส่ใจกับ cultural value , structural mechanisms ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ในองค์การ (Nutley and Davies, 2001) ซึ่งหากองค์การทางการแพทย์ นำแนวทางองค์การแห่งการเรียนรู้มาใช้จะต้องปรับองค์กรใน 5 ด้านได้แก่ (Cumming and Worley,1997)
1. โครงสร้าง (structure) องค์การต้องมีโครงสร้างที่สำคัญได้แก่ การทำงานเป็นทีม และการมีเครือข่ายระหว่างภายในและภายนอกองค์การ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูล การคิดเชิงระบบ และการเปิดรับข้อมูลข่าวสาร ระบบต้องยอมให้บุคลากรมีอำนาจในการตัดสินใจในส่วนที่เกี่ยวข้องและมีความ
สำคัญต่อทั้งองค์การ
2. ระบบข้อมูลข่าวสาร (information systems) การเรียนรู้ในองค์การอยู่ที่การรวบรวมและกลั่นกรองข้อมูลข่าวสาร มีระบบโครงสร้างความรู้ทางการจัดการ (knowledge management architec
ture) การใช้เว็บท่า (web portal) เช่นระบบ Lotus Notes เพื่อให้ใช้การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับตนเอง ลูกค้า และการบริการ รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญในองค์การเข้าด้วยกัน
3. การใช้ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Practices) มีการวางระบบการเรียนรู้ของบุคลากร การประเมินและการให้รางวัล เพื่อผลการปฏิบัติงานในระยะยาว มีการส่งเสริม การแสวงหาและแลก
เปลี่ยนทักษะและความรู้ใหม่ๆ มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ เพื่อให้การพัฒนาทักษะในการทำงาน และการให้เครดิตทางการศึกษาต่อเนื่องอื่นๆ อีกด้วย
4. วัฒนธรรมองค์การ (organization culture) องค์การต้องมีวัฒนธรรมที่จะส่งเสริมการเปิดกว้าง การคิดอย่างสร้างสรรค์ และการทดลองขึ้น โดยมีการสนับสนุนทางสังคม กระตุ้นพนักงานให้แสวงหาและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่อกัน มีอิสระในการทดลองสิ่งใหม่ มีโอกาสที่จะผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น
5. ภาวะผู้นำ (leadership) การเปลี่ยนแปลงองค์การต้องการผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ มีความเปิดกว้าง กล้าที่จะเสี่ยง และเน้นความสำคัญของการเรียนรู้ มีการสื่อสารวิสัยทัศน์และส่งเสริม สนับสนุนพนักงานของตนเอง
การบริหารงานที่ดี (Good Governace for a Good Goverment)
การบริหารงานที่ดีต้องใช้เกณฑ์ 3 เกณฑ์ โดยผสมผสานกันอย่างเหมาะสมด้วยคุณธรรมแห่งความพอเพียง คือ
การบริหารงานที่ดีทุกระดับและทุกด้าน จะต้องมองไปที่ความพอเพียงและพอดีระหว่างเกณฑ์ทั้ง 3 อย่างเหมาะสม
ดังนั้นเมื่อพิจารณาแนวโน้มองค์การทางการแพทย์ในประเทศไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน องค์การแห่งการเรียนรู้และการบริหารงานที่ดี ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเพิ่มเติมจากการจัดการความรู้ (knowledge management) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการประกันคุณภาพโรงพยาบาล (hospital accreditation) และเป็นแนวทางของการพัฒนาองค์การที่เป็นเลิศตามมาตรฐาน (Thailand quality award) รวมไปถึงการนำมาตรฐานใหม่ๆ เช่น Joint Commission International ซึ่งเป็นมาตรฐานของโรงพยาบาลในระดับสากลมาใช้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์การทางการแพทย์อย่างมาก โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหญ่และโรงพยาบาลเอกชน แน่นอนที่ว่าแผนกรังสีวิทยาย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แม้ว่าจะมีการนำระบบสารสนเทศหลายประเภทมาใช้ เช่น PACS, Groupware และ web portal หากแต่ส่วนใหญ่การพัฒนามุ่งเน้นการใช้เพื่อการทำงาน มิได้มุ่งเน้นเพื่อการเรียนรู้ ดังนั้นด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ บุคลากรทางการแพทย์ทางด้านรังสีวิทยา ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล รังสีเทคนิค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์การทางการแพทย์ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เข้ากับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ นั่นคือ มุ่งเน้นความเป็นวิชาชีพ และการวิจัยเชิง evidence based มากขึ้น ขณะเดียวกันต้องการสร้างความคุ้นชินในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT familiar) การเปิดกว้างทางความคิด (Openness) การไว้วางใจซึ่งกันและกัน (Trust) และการมีชุมชนนักปฏิบัติ (community of practise) ปฏิบัติตามกฎระเบียบ เกณฑ์มาตรฐาน จรรยาบรรณวิชาชีพจะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้รังสีเทคนิคยืนหยัดอย่างมีคุณค่าในระบบสาธารณสุขซึ่งมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็วในการจัดการความรู้และความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้
บรรณานุกรม
1. Gavin A.D. General Management: Processes and action Text and Cases. McGraw-Hill , 2002
2. Cummings, T. G. and Worley C.G. Organizational development and change. 6th Ed. South-Western, Ohio., 1997
3. Marquardt M.J. Building the Learning Organization. McGraw-Hill, 1996
4. Senge M.P., Roberts C., Ross B.R.,Smith J.B., Kleiner A. The fifth discipline field book: strategies and tools for building a learning organization. New York, Doubleday : 1994
5. Gordon F., Hazlett C., Cate O.T. et al., Strategic planning in medical education: enhancing the learning environment for students in clinical setting. Medical Education, 2000; 34: 841-850
6. Mulholland P., Zdrahal Z. and Domingue J. Supporting continuous learning in a large organization: the role of group and organizational perspectives. Applied Ergonomics 2005 (36);127-134
7. Nutley S.M. and Davies H.T.O. Developing organizational learning in the NHS. Medical Education, 2001; 35: 35-42
8. Vince R. Learning in public organizations in 2010. Public money & management, 2000; jan-mar:39-44
9. Wilkinson J., Rushmer R.K. and Davies H.T.O. Clinical governance and the learning organization. J Nursing Management. 2004;12: 105-113
10. เอกสารของคณะอนุกรรมาธิการคุณธรรมจริยธรรม คณะกรรมาธิการศาสนา จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม.สอนคุณธรรมอย่างไรให้ธำรงสามัคคี .สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, 2550
ไม่มีความเห็น