โขนได้มีวิวัฒนาการและการพัฒนามาจากการแสดง 3 ประเภท คือ การแสดงกระบี่กระบอง การแสดงหนังใหญ่ การแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ ดังจะกล่าวดังต่อไปนี้ 1. การแสดงกระบี่กระบอง คนไทยแต่โบราณ ก็เช่นเดียวกับชาติอื่น ๆ ทั้งหลายคือ จำเป็นต้องฝึกหัดวิชาการใช้อาวุธคู้มือไว้ให้ต่อสู้ข้าศึกศัตรูและป้องกันตัว อาวุธที่ใช้เป็นคู่มือในการต่อสู่ก็มีหลายชนิด มีทั้งอาวุธยาวและอาวุธสั้น เช่น กระบอง ไม้พลอง ดาบ กระบี่ ทวน หอก และ ง้าว เป็นต้น เครื่องรับเครื่องป้องกันตัวก็มีหลายชนิด เช่น โล่ เขน ดั้ง เป็นต้น ศิลปะแห่งการใช้อาวุธคู่มือและเครื่องป้องกันกำบังตัวเหล่านี้เรียกเป็นคำรวมเป็นท่หมายรู้กันว่า “วิชากระบี่กระบอง” วิชากระบี่กระบองเป็นวิชาที่ต้องฝึกหัดให้ชำนาญในการใช้ทั้งบนพื้นดินและอยู่บนพาหนะ จึงปรากฏว่าวีรบุรุษของไทยผู้มีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติ ล้วนแต่เป็นผู้ชำนาญในการใช้อาวุธเหล่านั้นเป็นอย่างดียิ่ง ซึ่งกล่าวถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราชองค์หนึ่งของไทย เมื่อครั้งเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธออยู่ในรัชกาลของสมเด็จพระราชบิดา คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ได้ชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดและสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอีกองค์หนึ่งของไทย เมื่อทำสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ทายาทแห่งราชบัลลังค์ของพม่าก็ทรงใช้พระแสงของ้าวจ้วงฟันพระมหาอุปราชาทิวงคตในกลางสมรภูมิเมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๕ เพราะปรากฏตามพระราชพงศาวดารว่า สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถราชอนุชาทรงชำนิชำนาญในการใช้อาวุธคู่พระหัตถ์เหล่านั้นได้แคล่วคล่องว่องไวเป็นอย่างดียิ่ง ทั้งนี้ย่อมแสดงว่าชาวไทยได้ฝึกหัดการใช้อาวุธและเครื่องป้องกันกำบังเพื่อต่อสู้ข้าศึกศัตรู และป้องกันตัวโดยมีระเบียบอันดีมาแต่โบราณ จนมีแบบแผนแห่งการใช้อาวุธเหล่านั้นแต่ละอย่างแต่ละชนิดเรียกกันว่า “เพลง” เช่น “เพลงกระบี่” “เพลงทวน” และเรียกกระบวนการรบว่าเท่านั้นเท่านี้เพลง ในสมัยโบราณนิยมเล่นกระบี่ กระบอง เป็นการแสดงประกวดอวดฝีมือกันอยู่เป็นเนือง ๆ จนถึงการนำไปแสดงเป็นมหรสพ เพื่อความบันเทิงใจของประชาชนในงานเทศการต่าง ๆ ทั้งในงานหลวงและในงานราษฎร์ ผู้แสดงฝีมือกระบี่กระบองอวด บางทีในครั้งโบราณจะเรียกว่า “นักคุน” และแสดงร่วมกันไปกับมหรสพอย่างอื่น โดยเหตุที่คนไทยเป็นนักรบมาแต่สมัยโบราณกาล ศิลปะแห่งการรำเพลงอาวุธดังกล่าวนี้ จึงเป็นสมบัติประจำตัวของคนไทยแต่ดั่งเดิมมาและนับถือว่าเป็นต้นเดิมแห่งแบบระบำชนิดที่เรียกว่า “วีรชัย” ซึ่งเห็นว่านำมาใช้ในการแสดงโขนหลายตอน เช่น ตอนตรวจพลยกทัพและตอนแสดงการรบ เป็นต้น 2. การแสดงหนังใหญ่ มหรสพที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของชาวไทยในสมัยโบราณอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ หนัง หรือที่เรียกกันภายหลังว่า หนังใหญ่ เพราะมีหนังตะลุง ตัวหนังเขาใช้แผ่นหนังงัว ฉลุสลักเป็นรูปตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ ด้วยลวดลายงดงามวิจิตร มีไม้ผูกทาบตัวหนังไว้ทั้งสองข้างเพื่อให้ตัวหนังตั้งตรงไม่คดหรืองอและไม้ที่ผูกทาบนั้นก็ทำให้มีคันยื่นยาวพ้นลงมาใต้ตัวหนังเป็นสองข้างเพื่อใช้มือทั้งสองจับถือและยกได้ถนัด สถานที่เล่น เขาปลูกโรงขึงจอโดยใช้ไม้ไผ่ ถ้าไม่มีไม้ไผ่ จะใช้ไม้อื่นถากเหลาขนาดเท่าลำไม้ไผ่ก็ได้ปักเป็นเสา ๔ ต้น และใช้ผ้าขาวคาดเป็นจอ ยาวราว ๙ วา สูงราว ๓ วา ส่วนด้านหลังของจอ เขาจุดไต้และก่อไฟขึ้นไว้ เพื่อให้เห็นเงาตัวหนังซึ่งมีลวดลายวิจิตรนั้นมาติดอยู่ที่จอผ้าขาว ตนเล่นหนังก็จับไม้ทาบตัวหนังนั้น ๆ คนหนึ่งต่อตัวหนังหนึ่งตัวชูตัวหนังขึ้นพ้นศีรษะของตนแล้วเต้นออกไปตามเพลงดนตรีและบทพากย์ บทเจรจาตามที่กำหนดไว้ในท้องเรื่อง คนเล่นหนังนี้เรียกว่า “คนเชิด” คนเชิดหนังจะต้องเชิดให้เงาของตัวหนังไปติดอยู่ที่จอผ้าขาว เพื่อคนดูจะได้เห็นรูปและลวดลายอันงดงามของตัวหนังได้เด่นชัด แต่คนเชิดไม่ต้องพูดหรือร้อง เพราะมีคนพูดแทน เรียกว่า “คนพากย์” คนพากย์จะต้องเป็นคนที่รอบรู้เรื่องราวที่จะเล่นหนังตอนนั้น ๆ ดี และเป็นกวีอยู่ในตัวด้วย ส่วนเรื่องที่เล่นหนังของเราแต่โบราณมาปรากฏว่าเล่นเรื่องรามเกียรติ์เป็นพื้น การเล่นหนังดูจะเป็นมหรสพที่เชิดหน้าชูตาอย่างหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา ศิลปะของการเล่นหนังหลายอย่างในชั้นหลังมานี้ ได้ตกมาเป็นสมบัติของการเล่นโขน 3. การแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ การเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ มีกล่าวไว้ในกฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนพระราชพิธีอินทราภิเษก ว่าให้ตั้งภูเขาพระสุเมรุ และภูเขาอื่น ๆ กลางสนามและใช้ตำรวจเล็กแต่งตัวเป็นอสูร มหาดเล็กแต่งตัวเป็นเทวดา วานรอย่างละร้อย และแต่งสุครีพ พาลี อีกอย่างละตัวเข้ากระบวนแห่ ทำพิธีชักนาคโดยพวกอสูรชักทางหัว เทวดาและวานรชักทางหาง พร้อมด้วยพิธีต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้โขนจึงได้ลักษณะการแต่งกายมาจากการเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ ประเภทของโขน เมื่อนิยมดัดแปลงกันเล่นโขนด้วยวิธีต่าง ๆ เกิดขึ้น จึงเกิดเป็นคำเรียกเป็นที่หมายรู้แยกประเภทของโขนออกไป โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท คือ 1. โขนกลางแปลง เป็นการแสดงกลางสนามอย่างหนังใหญ่ สร้างอาคารเป็นพลับพลาข้างหนึ่ง เป็นป่าข้างหนึ่ง ดำเนินเรื่องด้วยการพากย์และเจรจา มีคนพากย์หลายคน มีปี่พาทย์ 2 วง ตั้งอยู่บนร้านสูงเพื่อให้เห็นการแสดง การแต่งกายนำเครื่องแบบกษัตริย์มาใช้ตามฐานะของตัวละคร 2. โขนนั่งราว เกิดขึ้นได้อย่างการเอาตัวอย่างโขนกลางแปลง ฉากหลังทำเป็นรูปนูนเช่นป่าเขา พลับพลา ปลูกร้านสูงเพื่อตั้งวงปี่พาทย์ ทั้งหัวโรงท้ายโรง ตัวละครจะออกมาเต้นบนโรง ซึ่งโรงโขนปลูกพอดีสายตาคนดู มีการวางราวจากคนดูทั้งสองข้างบนโรง เพื่อให้ตัวละครนั่ง มีคนพากย์เหมือนโขนกลางแปลงทุกประการ 3. โขนโรงใน เป็นการแสดงที่ผสมผสานการแสดงทั้ง 2 ประเภท คือ โขนกับละครในโดยดำเนินเรื่องโดยบทร้องและมีคนพากย์เมื่อเจรจา มีการเพิ่มเตียงที่ใช้ในการแสดงอีกหนึ่งตัว ตัวพระรามและพระลักษณ์ให้ผู้หญิงแสดงได้ ถึงแม้อย่างไรก็ยังคงยึดรูปแบบเดิมไว้คือมีคนร้องและเจรจาแทน 4. โขนหน้าจอ มีวิวัฒนาการมาจากหนังใหญ่ กล่าวคือ เมื่อมีพระราชพิธีใหญ่พระมหากษัตริย์จะแสดงในตอนบ่าย มหรสพทุกชนิดจะเริ่มแสดงแต่หนังใหญ่ต้องอาศัยเงาจึงหาวิธีโดยการปิดทองบนตัวหนังแล้วเชิด โดยมากจะเป็นชุดระบำ ครั้นต่อมามีการนำตัวละครรำสลับกับตัวหนังหรือรำพร้อมกับตัวหนังจนเป็นที่นิยม ครั้นต่อมาก็มีแต่ตัวละครอย่างเดียว มีการดำเนินเรื่องอย่างโขนโรงใน มีฉากเหมือนโขนนั่งราว 5. โขนฉาก เมื่อทางราชการต้องการแสดงโขนต้อนรับแขกเมืองที่โรงโขนหลวงมิสกวัน เมื่อแสดงตอนศึกพรหมาตร์ก็ทำฉากหลังเป็นฟ้าแสดงตอนไมยราพย์สะกดทัพก็ทำเป็นหนุมานอมพลับพลาจึงเป็นโขนที่แสดงบนเวทีต่อมาก็จึงนิยมทำฉากตามเนื้อเรื่อง แต่ความจริงแล้วมีการดำเนินเรื่องตามโขนโรงใน โขน เป็นศิลปะโบราณอย่างหนึ่งของไทย ถือกำเนิดมาจากการแสดงการแสดงกระบี่กระบอง การแสดงหนังใหญ่ และการแสดงชักนาคดึกดำบรรพ์ แต่เดิมผู้แสดงต้องสวมหัวโขนเป็นหน้ากากปิดหน้าทั้งหมด จึงต้องมีผู้ออกเสียงแทนผู้แสดง เรียกกันว่า “คนพากย์เจรจา” ผู้แสดงต้องรำทำท่าเต้นและอิริยาบทไปตามคำพากย์ เจรจา และบทขับร้อง ต่อมาการเล่นโขนได้วิวัฒนาการให้ผู้แสดงที่แสดงเป็นมนุษย์ ชาย หญิง และเทวดา นางฟ้า สวมแต่เครื่องประดับศีรษะ ไม่ใช้หน้ากากปิดหน้าแบบตัวแสดงที่เป็นยักษ์และลิง แต่ก็ยังมีผู้พากย์และเจรจาแทนตัวโขนอยู่อย่างเดิม
ไม่มีความเห็น