รู้ทันโรคจากคอมพิวเตอร์


โรคจากคอมพิวเตอร์

                                                                                                                              เรียบเรียงโดย  สุรศักดิ์  ทานะปัทม์ 

<p align="center"></p> <table border="0"><tbody><tr><td>  </td></tr></tbody></table><p>รคคอมพิวเตอร์ หรือ Computer Vision Syndrome อันหมายถึง อาการผิดปกติหลาย ๆ อย่างอันเนื่องมาจากจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ พบได้ถึง 75% ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี อาการในบางคนอาจเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่บั่นทอนการทำงานหรือพักการใช้คอมพิวเตอร์สักพักก็หายไป บางคนอาจต้องว่างเว้นการใช้เป็นวันก็หายไป บางรายอาจต้องใช้ยาระงับอาการ หรือบางคนถึงกับเลิกใช้คอมพิวเตอร์ไปก็มีบ้าง อาการของภาวะนี้พบได้หลายอย่าง เช่น ตาเมื่อยล้า ตาแห้ง แสบตา ตาสู้แสงไม่ได้ ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยบ่า ไหล่ คอ หรือปวดหลัง                </p><p>อาการเหล่านี้เกิดจากผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่ค่อยกะพริบตา ปกติแล้วทุกคนจะต้องกะพริบตาอยู่เสมอเป็นการเกลี่ยน้ำตาให้คลุมผิวตาให้ทั่ว ๆ โดยมีอัตราการกะพริบ 20 ครั้งต่อนาที หากอ่านหนังสือหรือนั่งจ้องคอมพิวเตอร์อัตราการกะพริบจะลดลง โดยเฉพาะการจ้องคอมพิวเตอร์ การกะพริบตาจะลดลงกว่า 60%   ทำให้ผิวตาแห้ง ก่อให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง รู้สึกฝืด ๆ ในตา                </p><p>วิธีแก้ไข คือ ถ้ารู้สึกตัวว่าจ้องหน้าจอนานเกินไป ก็ให้กะพริบตาให้บ่อยขึ้น หรือพักสายตาโดยการละสายตาจากคอมพิวเตอร์ หลังจากใช้ไปประมาณ 15-30 นาที หรืออาจจะใช้ยาหล่อลื่นลูกตาประเภทน้ำตาเทียม                </p><p>แสงจ้าและแสงสะท้อน (Glare reflection) จากจอคอมพิวเตอร์ทำให้ตาของเราเมื่อยล้า ทั้งแสงจ้าและแสงสะท้อนมายังจอภาพ อาจเกิดจากแสงสว่างไม่พอเหมาะ มีไฟส่องเข้าหน้าหรือหลังจอภาพโดยตรง หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างส่องปะทะหน้าจอภาพโดยตรง ก่อให้เกิดแสงจ้าและแสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้      ทำให้เมื่อยล้าตาง่าย วิธีแก้ไขคือ จัดแสงไฟและตำแหน่งจอภาพให้เหมาะสม อย่าให้จอภาพหันหน้าเข้าหน้าต่างหรืออยู่ต่อหน้าหน้าต่าง โคมไฟที่ส่องหน้าตรง ๆ ลงมาอาจทำให้เกิดแสงจ้า น่าจะเปลี่ยนหลอดไฟที่กระจายทั่ว ๆ ไป หรือโคมไฟที่ส่องเฉพาะกระดาษอย่าให้แสงปะทะกับจอภาพและตาผู้ใช้                </p><p>นอกจากนี้ ควรปรับคลื่นแสงที่หน้าจอ (Refresh rate) ซึ่งเครื่องส่วนใหญ่จะปรับอยู่ที่ 60 Hg ซึ่งขนาดนี้   ทำให้เกิดแสงกะพริบ ทำให้ภาพบนจอเต้นกระตุ้นให้เราต้องปรับตาเพื่อโฟกัสใหม่อยู่เรื่อย ๆ ทำให้ตาเมื่อยล้าได้ ควรปรับความถี่ให้อยู่ระดับ 70-80 Hg จะทำให้จอภาพเต้นน้อยลงสบายตาขึ้น  การออกแบบและการจัดภาพ ระยะทำงานที่ห่างจากจอภาพให้เหมาะสม ควรจัดจอภาพให้อยู่ในระยะพอเหมาะที่ตามองสบาย ๆ ไม่ต้องเพ่ง โดยเฉลี่ยระยะตาถึงจอภาพควรเป็น 0.45-0.50 เมตร ตาอยู่สูงกว่าจอภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้แว่นตาแบบ Bifocal (แว่นสายตาที่มองทั้งระยะใกล้และไกล) จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตาเพื่อตาจะได้มองตรงกับเลนส์แว่นตาที่ใช้มองใกล้ การตั้งจอคอมพิวเตอร์สูงกว่าระดับ จะทำให้ผู้ใช้ต้องแหงนหน้ามอง การแหงนหน้าอยู่ประจำทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ได้ง่าย                </p><p>สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องใช้แว่นสายตามองทั้งระยะไกลและใกล้ หากใช้แว่นตานั้นทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ แล้วมีอาการปวดเมื่อยในตามาก อาจต้องปรึกษาจักษุแพทย์พิจารณาทำแว่นสายตาที่เห็นระยะจอคอมพิวเตอร์และตัวหนังสือที่เหมาะสม สายตาที่ผิดปกติอยู่เดิม เช่น มีสายตาสั้น ยาว หรือเอียง หรือสายผู้สูงอายุ ควรแก้ไขสายตาให้มองเห็นชัดที่สุด จะได้ไม่ต้องเพ่งโดยไม่จำเป็น มีอยู่เสมอ ๆ ที่มีสายตาผิดปกติไม่มากถ้าทำงานตามปกติไม่มีอาการอะไร แต่ถ้ามาทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ทำให้ต้องจ้องจอภาพ ต้องมองแสงกะพริบจากจอภาพ มองแสงสะท้อน ตลอดจนแสงจ้าจากจอรับภาพ ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าหรืออาการของโรคคอมพิวเตอร์ได้ การแก้ไขสภาวะบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มีอยู่ทำให้อาการผิดปกตินี้ทุเลาลงไปได้                </p><p>บางรายหากมีโรคบางอย่างอยู่ เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ หรือแม้แต่เยื่อบุตาอักเสบ ตลอดจนโรคทางกาย เช่น โรคไซนัสอักเสบ ไข้หวัด ร่างกายทั่วไปอ่อนเพลีย จะทำให้การปรับสายตาเพื่อการมองเห็นชัดทำให้เกิดการปวดเมื่อยนัยน์ตาได้ง่าย ที่ไม่ควรละเลยอีกอย่างของภาวะนี้ก็คือ การทำงานจ้องจอภาพนานเกินไป ไม่ว่าจะเกิดจากงานเร่ง หรือมีหน้าที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเดียวก็ตาม ย่อมเกิดอาการได้ง่าย ทุก 2 ชั่วโมง ที่จ้องจอภาพ ควรพักสายตาประมาณ 15 นาที โดยมองออกไปไกล ๆ หรือหลับตาเฉย ๆ หากเป็นไปได้ควรทำงานที่ต้องจ้องจอภาพ วันละไม่เกิน 4 ชั่วโมง เวลาที่เหลือไปทำงานอย่างอื่นบ้าง </p><p style="margin: 0in 0in 0pt" class="MsoNormal">                โดยสรุปอาการของ Computer Vision Syndrome แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่ก็ทำให้รำคาญ ทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลง หากได้รับการแก้ไขจะทำให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำงานอย่างเป็นสุขขึ้น และวิธีการแก้ไขส่วนใหญ่ทำได้ไม่ยาก</p><p style="margin: 0in 0in 0pt" class="MsoNormal"></p><p></p><p>ที่มา : หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์  ฉบับวันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2551 </p>

คำสำคัญ (Tags): #คอมพิวเตอร์
หมายเลขบันทึก: 159923เขียนเมื่อ 18 มกราคม 2008 08:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:43 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท