คุณธรรม
8 ประการ
ของการจัดการความรู้
ศาสคราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประเวศ
วะสี
คำว่า “การจัดการ”
อาจทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนักในสังคมไทย
เพราะเหมือนจะไปใช้อำนาจจัดการอะไรๆ
แต่คำว่า จัดการความรู้
(Know
ledge Management)
มีความหมายจำเพาะ
ว่าหมายถึงการจัดการให้มีการค้นพบความรู้ความชำนาญที่แฝงเร้นในตัวคน
หาทางนำออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ตกแต่งให้ง่ายต่อการใช้สอยและมีประโยชน์เพิ่มขึ้น
มีการต่อยอดให้งดงามและใช้ได้เหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงและกาลเทศะยิ่งขึ้น
มีความรู้ใหม่หรือนวัตกรรมเกิดขึ้นจากการเอาความรู้ที่ไม่เหมือนกันมาเจอกัน
ข้อสำคีญก่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของคนทั้งหมดที่ร่วในกระบวนการก่อให้เกิดปัญญาร่วม
(Collective
wisdom) ทำให้แก้ปัญหาหรือพัฒนาในเรื่องยากๆ
ได้สำเร็จ
แนวคิดและวิธีการในเรื่องการจัดการความรู้มีการตีพิมพ์ค่อนข้างแพร่หลายทั้งในภาษาต่างประเทศและภาษาไทย
สคส.
(สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม)
กำลังทำงานอย่างเข้มแข็งตามชื่อของสถาบัน
ได้ผลิตข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแนวคิด
วิธีการและประสบการณ์ไว้มากมายพอสมควรและมากขึ้นเรื่อยๆๆ
โดยเฉพาะเครือข่ายและกิจกรรมในตัวเอง
เป็นข่าวสารและการสื่อสารที่ยิ่งกว่าสื่อในกระดาษ
เทคนิคและวิธีการในเรือ่งการจัดการความรู้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้เพื่อใช้ในการปฏิบัติ
แต่อย่าไปติดอยู่เฉพาะเทคนิคและคิดแบบกลไกเท่านั้น
ในเรื่องการจัดการความรู้มีมิติทางนามธรรมที่ไม่ใช่เทคนิค
(non-technical
dimension) อยู่ด้วย
เรื่องทางนามธรรมนี้เป็นเรื่องของความหมายในทางลึก
ที่ถ้าเข้าใจ ระลึกถึง
และบ่มเพาะให้งอกงามยิ่งขึ้นและพูนพลังให้กับการจัดการความรู้อย่างวิจิตรและมโหฬารขึ้นเรื่อยๆ
1.
เป็นศิลธรรมพื้นฐาน
ศิลธรรมพื้นฐานของสังคมคือการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ศิลธรรมพื้นฐานนี้จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันด้วยสันติ
สังคมส่วนใหญ่ขาดศิลธรมพื้นฐานนี้
จึงนำไปสู่การพัฒนาที่บิดเบี้ยวและไม่สามารถสร้างสังคมสันติสุขได้
การจัดการความรู้มีพื้นฐานอยู่ที่การให้คุณค่าแก่ความรู้ที่อยู่ในตัวทุกคน
จึงเป็นรูปธรรมแห่งการปฏิบัติที่เคารพศักศรีและคุณค่าความเป็นคนของทุกคน
ถ้าสำนึกถึงคุณค่าที่ลึกที่สุดนี้อยู่เสมอ ๆ
และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานให้ตัวเราเองในการมองเพื่อนมนุษย์
2. การไม่ใช้อำนาจ
มนุษย์ตามปกติจะให้อำนาจกระทำต่อกัน
แม้ในสังคมที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย
เพราะอำนาจเป็นกิเลสที่ลึกที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์
การใช้อำนาจอาจใช้โดยไม่รู้ตัวหรือทั้ง ๆ
ที่มีความรักก็ได้ เช่น
พ่อแม่ใช้กับลูก
แพทย์ใช้กับคนไข้
พระใช้กับชาวบ้าน
นายจ้างใช้กับลูกจ้าง มิใยต้องเอ่ยถึงในองค์กรต่าง
ๆ
การใช้อำนาจจะไปปิดกั้นกระบวนการตามธรรมชาติ
กระบวนการตามถักทอเครือข่าย
เมื่อใช้อำนาจจะทำให้กระบวนการตามธรรมชาติบิดเบี้ยวเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น
การใช้อำนาจจะไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
ตามที่จะกล่าวถึงในข้อ 6
การจัดการความรู้สร้างความสัมพันธ์ใหม่ทุกคนมีความสำคัญ
ประสบการณ์ของทุกคนมีความสำคัญ
ความเสมอภาคมีเสรีภาพที่จะนำเอาศักยภาพในตนเองมาแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ถ้าเราตระหนักถึงการไม่ใช้อำนาจอยู่เนือง ๆ
ความเสมอภาคที่แท้จริงจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งให้เกิดความสุข
และพลังของความสร้าง
3.
การฟังอย่างลึก
(Deep
Listening)
การนำความรู้ที่แฝงเร้นในตัวออกมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
ต้องมีการคุยที่เน้นการฟังอย่างลึก
ไม่ใช้โต้เถียงกันโดยฟังเอาชนะคะคานหรือพ่นให้ผู้อื้นฟังข้างเดียว
คนบางคนไม่ฟังคนอื่น
เอาแต่พูดหรือฟังก็ไม่ได้ยิน
อย่างนี้ปัญญาไม่เกิดแต่เป็นอาการของคนที่มีตัวตนจัด
(ego)
ถ้าหมอถือตัวว่าสูงกว่าคนไข้ก็จะไม่ฟังคนไข้
ถ้ามีความเป็นคนเสมอกันก็ต้องมการฟัง
การจะมีความตั้งใจฟังอย่างลึกก็ตอ้งมีศิลธรรมพื้นฐานคือเคารพตามความเป็นคนของคู่สนทนาอย่างแท้จริง
การฟังอย่างลึกทำให้เกิดปัญญา
โบราณใช้คำว่า พหูสูต
สำหรับผู้มีปัญญา (สุตะ =
ฟัง)
เมื่ออีกฝ่ายตั้งใจฟัง
ผู้เล่าจะมีความรู้สึกที่ดี
มีความเชื่อใจ
ย่อมอยากจะบอกอะไรที่เกี่ยวกับเขา
ซึ่งตามปกติจะไม่บอกใคร
การฟังอย่างลึกและเงียบ
จิตใจสงบ
มีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ได้ยิน
จะทำให้เกิดปัญญา
Otto
Scharmer
ได้เสนอทฤษฎีรูปตัวยู
(U) โดยย่อ ดังรูป
Presencingอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
|
ทฤษฎีรูปตัวยูของ
Otto
Scharmer
ดังแปลงให้ง่าย
(ก) ถ้ารับรู้อะไรมาแล้วมีปฏิกิริยาออกไปทันที
แบบพูดเปรี้ยง ทำเปรี้ยงจะตื้น
แยกส่วนไม่ประกอบด้วยปัญญา
ตกเป็นเหยื่อของกิเลส
(ข)
ถ้ารับรู้อะไรมาแขวนไว้ก่อนจะสงบมาก
ไปสัมผัสอย่างเงียบๆ มีสติ
จิตจะสงบมาก ไปสัมผัสจริง
ไปสัมผัสความจริงทั้งหมดที่เขาใช้คำว่า
Presencing
ณ ที่นั้น
อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต
จะเชื่อมกัน เกิดปัญญาว่างไสว
เมื่อพูดหรือทำอะไรออกไปก็เป็นจากการเกิดปัญญา
ทฤษฎีของ Otto
Scharmer
ตรงกบพระพุทธเข้าสอนไว้ว่าเมื่อใครพูดอะไรเธออย่าเพิ่งรับหรือปฏิเสธ
(ฟังอย่างลึก)
นำมาพิจารณาอย่างแยบคาย
(โยนิโสมนสิการ) มีสติ
และจะเกิดปัญญา
ฉะนั้นนักจัดการความรู้พึงสำนึกว่าการฟังอย่างลึกเป็นศิลธรรมพื้นฐานแห่งการเคารพผู้อื่น
พึงเจริญสติให้มากในการฟัง
สิ่งดีงามจะผุดบังเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์
4. มีวิธีการทางบวก
กล่าวคือ เอาความสำเร็จ
ความภาคภูมิใจของสิ่งที่เคยทำด้วยดีเป็นตัวตั้ง
นำมาเห็นคุณค่าและชื่นชม
แลกเปลี่ยนเรียนรู้
ต่อยอดให้งดงาม
และมีประโยชน์ยิ่งขึ้น
วิธีการทางลบคือ
เอาความล้มเหลาวหรือปัญหาขึ้นมาเป็นตัวตั้งวิพากษ์วิจารณ์แล้วทะเลาะกันเป็ฯการทอนกำลัง
วิธีการทางบวก
ทำให้มีความปีตีมีกำลังใจ มีความสามัคคี
และมีพลังสร้างสรรค์ที่จะเคลื่อนตัวต่อไปในอนาคต
5. การเจริญธรรมะ 4
ประการที่เกื้อหนุนการเรียนรู้ร่วมกัน
การจัดการความรู้เน้นที่การส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน
ปกติมนุษย์เรียนรู้ร่วมกันยากเพราะกิเลส
เช่น ความโกรธ
ความเกลียด อหังการ
มมังการ
การเรียนรู้ร่วมกันควรเจริญธรรมมะ 4
ประการ คือ·
ความเอื้ออาทร
(Compassion)·
ความเปิดเผย
(Openness)·
ความจริงใจ
(Sincerity)·
ความเชื่อถือไว้วางใจกัน
(Trust)เมื่อเกิดความเชื่อถือไว้วางใจกันจะมีค่ามาก
ทำอะไรก็ง่ายและมีความสุขอย่างยิ่ง
ถ้าขาดความเชื่อถือไว้วางใจกัน จะไม่อยากคุยกันอย่างลึก ๆ
เมื่อไม่คุยกันอย่างลึก ๆ
ความรู้แผงเร้นก็สำแดงออกมาไม่ได้
ฉะนั้นประชาคมจัดการความรู้พึงเจริญให้มาก
6.
การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ
(Interactive
Learning through action)
เป็นอิทธิปัญญา
การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติเป็นอิทธิปัญญา
การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติมีความสำคัญที่สุดในการทำให้อะไรยากๆ
ให้สำเร็จ
การไม่เรียนรู้
การเรียนรู้โดยท่องตำราอย่างเดียว
การเรียนรู้เฉพาะบางคนโดยไม่ใช่การเรียนรู้ของคนทั้งหมดร่วมกัน
ไม่เกิดปัญญาร่วมที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ไม่เป็นไปเพื่อความสำเร็จในขณะที่ความรู้ในตำราอาจไม่ได้มาด้วยการปฏิบัติรหรืออยู่ห่างไกลจากการปฏิบัติ
ความรู้ในตัวคนเป็นความรู้ที่เนื่องด้วยการปฏิบัติและการจัดการความรู้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน
เพื่อให้การปฏิบัติบางสิ่งบางอย่างเป็นผลสำเร็จ
การจัดการความรู้จึงเป้ฯการส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติอันจะทำให้เกิดอิทธิปัญญาหรือเพื่อความสำเร็จ
(อิทธิ =
ความสำเร็จ)
7.
การถักทอไปสู่โครงสร้างใหม่ขององค์กรและของสังคม
โครงสร้างที่สุดโต่ง 2
อย่างคือ
(1) โครงสร้างทางดิ่ง
(2)โครงสร้างปัจเจกชนนิยมแบบตัวใครตัวมัน
ไม่มีพลังเพียงพอในการแก้ปัญญาที่ยากและซับซ้อนของสังคมปัจจุบัน
การจัดการความรู้ก่อให้เกิดโครงสร้างใหม่แบบเครือข่าย
ตามรูป
การส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
ทำให้บุคคลทั้งโดยตัวบุคคลหรือภายในองค์กรเดียวกัน
หรือข้ามองค์กรเข้ามาเชื่อมโยงกันโดยความสมัครใจ
ไม่ใช่โดยการบังคับ
แต่เชื่อมโยงด้วยการเรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกัน
เกิดเป็นเครือข่ายทั้งภายในองค์กรและข้ามองค์กร
โครงสร้างเครือข่ายนี้จะคล้ายโครงสร้างของสมอง
สมองมีเซลล์โยงตัวตัวอื่น ๆ อีกประมาณ
70,000 ตัว
เป็นเครือข่ายเซลล์สมอง (neuronal
network)
เป็นโครางสร้างที่วิจิตรที่สุด
มนุษย์ก็มีจำนวนมาก
เมื่อเชื่อมโยงกับเครือข่ายมนุษย์
(human
network)
จึงเป็นโครงสร้างที่วิจิตรและสมรรถนะในการเรียนรู้สูงสุด
(ก)
โครงสร้างทางดิ่งแบบใช้อำนาจ
|
จากรูปการจัดการความรู้คือกระบวนการความรู้คือกระบวนการปรับเปลี่ยนคางสร้างความ
สัมพันธ์จากโครงสร้างทางดิ่ง
(ก)
และโครางสร้างปัจเจกชนนิยมสุดต่างแบบตัวใครตัวมัน
(ข)
ไปเป็นโครงสร้างแบบเครือข่าย
(ค)
ในขณะที่โครงสร้างทางดิ่งมีการเรียนรู้น้อยมาก
และโครงสร้างปัจเจกนิยมสุดต่างแบบตัวใครตัวมันขาดพลังร่วมและปัญญาร่วม
ไม่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จทางสังคม
การที่การจัดการความรู้นำไปสู่การถักทอโครงสร้างใหม่
จากโครงสร้างทางดิ่งและโครงสร้างแบบตัวใครตัวมันไปสู่การเป็นเครือข่ายมนุษย์
มีความสำคัญยิ่งนัก
เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน
(transformation)
ที่ไม่เคยทำได้สำเร็จด้วยวิธีใช้ความรุนแรง
แต่สำเร็จได้ด้วยการจัดการความรู้อันประณีต
ที่ส่งเสริมให้มีการเรียนรู้กันในการปฏิบัติ
โครงสร้างใหม่จะปลดปล่อยมนุษย์ไปสู่ศักยภาพ
เสรีภาพ และความสุข
8.
การเจริญสติในการกระทำ
การจดการความรู้ที่ดีเป็นการเจริญสติไปในตัว
การเจริญสติคือ การรู้ตัวการ
รู้ตัวทำให้มีปัญญาและทำได้ถูกต้อง
ในกระบวนการจัดการความรู้ที่ดี
ทุกคนต้องพยายามมีติระลึกรู้
เมื่อทุกคนมีสติในกิจกรรมร่วมจะเกิดความสติของกลุ่ม
หรือสติขององค์กร หรือสติของสังคม
อันเป็นเรื่องใหม่ซึ่งดียิ่งนัก
เพราะสังคมที่ไม่มีสติเป็นอย่างไรเราพอนึกออกและเห็นอยู่ทั่วไป
การเจริญสติทำให้จิตใจทำให้จิตใจสงบ
มีอิสรภาพเพราะหลุดจากความบีบคั้นสัมผัสความจริงได้
ควบคุมความคิด การพูด
และการกระทำได้
การมีสติจึงเป็นความงาม ความดี
และความสุข
ทุกคนควรทำความเข้าใจเรื่องสติและพยายามเจริญให้มากจะประสบความสุขและความเจริญทั้งปวง
การจัดการความรู้คงจะมีคุณลักษณะอื่น ๆ อีก
ที่นำมากล่าวไว้ 8
ประการก็คงพอเพียงที่จะเป็นกำลังใจให้ฮึกเหิมในธรรม
เห็นภาพรวมของการจัดการความรู้ในเชิงลึก
ซึ่งถ้าตระหนักรู้และพยายามเจริญคุณธรรม
8 ประการให้ประณีตยิ่ง ๆ ขึ้น
การทั้งปวงจะงดงามและทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ
..................................................................................