|
บทนำ
โลกาภิวัตน์ได้ส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ
ทั่วโลกการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ละประเทศแม้จะมีอิสระในการเลือกระบบเศรษฐกิจของตนเอง
แต่ประเทศต่างๆ
เหล่านั้นก็ไม่อาจดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่สวนกระแสโลกาภิวัตน์ได้อีกต่อไป
หลายประเทศเริ่มปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจของตน
เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์มากขึ้น
ดังตัวอย่างของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจมาสู่ระบบทุนนิยมที่พึ่งพาตลาด
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์(Karl Heinrich
Marx) นักปรัชญา และนักเศรษฐศาสตร์การเมืองผู้เลื่องชื่อ
ได้กล่าวไว้ในหนังสือแถลงการณ์ของชาวคอมมิวนิสต์ (The
Communist Manifesto) เมื่อ ค.ศ. 1848 ที่ว่า
“โลกกำลังจะกลายเป็นตลาดหนึ่งเดียวที่ไม่มีอุปสรรคจากเขตแดนของประเทศต่างๆ”[1]
ระบบเศรษฐกิจและการค้าของโลกได้อนุวัตรให้เห็นแล้วว่าแนวคิดนี้กำลังจะเป็นจริงแล้วในอนาคตอันใกล้นี้
ฉันทามติวอชิงตันคืออีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนต่อความพยายามที่จะสร้างประชาคมเศรษฐกิจโลก
และทำให้ระบบการค้าทั่วทั้งโลกเป็นตลาดเดียวกัน ฉันทามติวอชิงตัน
(Washington
Consensus)[2]ฉันทามติวอชิงตัน
หรือ Washington
Consensus เปนวลีที่ถูกบัญญัติ ขึ้นในป ค.ศ. 1989
(พ.ศ. 2532) โดยจอหน วิลเลียมสัน (John Williamson)
นักเศรษฐศาสตรแหงสถาบันเพื่อการเศรษฐศาสตรระหวางประเทศ
(The Institute for International Economics) ตั้งอยู ณ
กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา
จอหน
วิลเลียมสัน (John
Williamson)คําวา
“ฉันทามติวอชิงตัน”
ใชอธิบายนโยบายรวมทางเศรษฐกิจของสถาบันและองคการ
ระหวางประเทศที่ตั้งอยู ณ กรุงวอชิงตันในขณะนั้น อาทิ
กองทุนการเงินระหวางประเทศ (International Monetary Fund
-IMF) ธนาคารโลก (World Bank) และ
กระทรวงการคลังแหงสหรัฐอเมริกา โดยบุคคลในสํานักคิดเดียวกันกับจอหน
วิลเลียมสัน เชื่อวานโยบายตางๆ ภายใตฉันทามติฉบับนี้
จะเปนกุญแจสําคัญที่ทําใหประเทศแถบละติน
อเมริกาฟนตัวจากวิกฤติการณทางการเงินในชวงทศวรรษ 1980
และในทายที่สุดฉันทามติวอชิงตันกลายเปนแนวทางหลัก (Main
stream)
ในด้านเศรษฐกิจระหวางประเทศอันรวมไปถึงการลมสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหภาพโชเวียต
และการเปดเสรีทางการคาการลงทุนในกิจการสาธารณูปโภค นโยบายภายใตฉันทามติวอชิงตันรังสรรค์
ธนะพรพันธุ์ ได้สรุปสาระสำคัญของฉันทามติแห่งวอชิงตัน[3]
ประกอบดวย 10
นโยบายที่มุงเนนการขยายบทบาทของกลไกตลาด
และลดบทบาทในการแทรกแซงทางเศรษฐกิจของรัฐ
ซึ่งปรากฏในบทความ "What Washington
Means By Policy Reform" อันเป็นกำเนิดของฉันทามติวอชิงตัน
ซึ่งเสนอต่อที่ประชุมการสัมมนาทางวิชาการเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในละตินอเมริกา
จัดโดยสถาบันเพื่อการเศรษฐศาสตรระหวางประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2532 ณ
กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา
บทความฉบับนี้ต่อมาได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือของ John Willamson
(ed.), Latin American Adjustment : How Much Has Happened?
(Washington,D.C. : Institute for International Economics,
1990) อันไดแก่นโยบายชุดที่
1 ว่าด้วยวินัยทางการคลัง
(Fiscal
Discipline) วิลเลียมสันใช้คำว่า
"วินัยทางการคลัง" ในความหมายอย่างกว้าง
โดยเน้นการลดการขาดดุลทางการคลัง (Fiscal Deficit)
มิได้ใช้ในความหมายอย่างแคบ ซึ่งเจาะจงให้หมายถึงการ
ใช้งบประมาณสมดุล (Balanced Budget) อันเป็นแนวนโยบาย
งบประมาณที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ พยายามกดดันให้
ประเทศในโลกที่สามดำเนินการ ประเทศในละตินอเมริกาและ ประเทศอื่นๆ
ในโลกที่สามมักจะ มีการใช้จ่ายเกินตัว การใช้งบประมาณขาดดุล
นอกจากจะสร้างแรงกดดันของเงินเฟ้อ
และบั่นทอนฐานะความมั่นคงทางการคลังแล้ว ยังทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัด
(Current Ac-count) ขาดดุลอีกด้วย
การลดการขาดดุลทางการคลัง
จะก่อให้เกิดผลในทางตรงกันข้าม
นอกจากฐานะการคลังมีความมั่นคงมากขึ้นและแรงกดดันเงินเฟ้อลดลงแล้ว
ดุลบัญชีเดินสะพัดยังขาดดุลน้อยลงอีกด้วยนโยบายชุดที่
2 ว่าด้วยการจัดลำดับความสำคัญของรายจ่ายรัฐบาล
ฉันทามติแห่งวอชิงตัน ฉบับของจอห์น วิลเลียม สัน
เสนอให้กำหนดแนวนโยบายงบประมาณที่สำคัญ 2 ประการ
กล่าวคือ1)
รัฐบาลควรยกเลิกหรือลดการให้เงินอุดหนุน
(Subsidy)
เพราะการให้เงินอุดหนุนเกื้อกูลให้ความไร้ประสิทธิภาพดำรงอยู่
นอกจากนี้การให้เงินอุดหนุนยังบิดเบือนความได้ เปรียบเชิงเปรียบเทียบ
(Comparative Advantage)
อีกด้วย2)
รัฐบาลควรให้ความสำคัญในการจัดสรร
งบประมาณด้านการศึกษาและการสาธารณสุข
รวมตลอดจนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
(Infrastructure)
การใช้จ่ายด้านการศึกษาและการสาธารณสุขมีผลต่อการสะสมทุนมนุษย์
(Human Capital)
ส่วนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะมีผลเกื้อกูลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมนโยบายชุดที่
3 ว่าด้วยการปฏิรูปภาษีอากร
(Tax
Reform) ฉันทามติแห่งวอชิงตัน
ฉบับจอห์น วิลเลียมสัน เสนอแนว ทางการปฏิรูปภาษีอากร 2 ประการ
กล่าวคือ1)
การปฏิรูประบบภาษีอากรควรเน้นการขยายฐานภาษี (Tax Base)
มากกว่าการปรับอัตราภาษี (Tax Rate)
การขยายฐานภาษีจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้
เนื่องจากบุคคลธรรมดา นิติบุคคล
และกิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมากมิได้อยู่ในความครอบคลุมของฐานภาษี
การปรับอัตราภาษีมีผลกระทบต่อโครงสร้างสิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจ
โดยที่การขึ้นภาษีในอัตราสูงอาจเป็นสิ่งจูงใจให้มีการหลบเลี่ยงภาษี
(Tax Evasion)2)
อัตราภาษีส่วนเปลี่ยนแปลง (Marginal Tax Rate)
ควรกำหนดให้อยู่ในอัตราต่ำ
การเก็บอัตราภาษีส่วนเปลี่ยนแปลงในอัตราสูงมีผลลิดรอนสิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจนโยบายชุดที่
4 ว่าด้วยอัตราดอกเบี้ย
ฉันทามติแห่งวอชิง ตันฉบับจอห์น วิลเลียมสัน
เสนอแนวนโยบายอัตราดอกเบี้ย 2 ประการ กล่าวคือ1)
อัตราดอกเบี้ยควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกลไกตลาดการเงินภายในประเทศ
รัฐบาลไม่ควรควบคุมอัตราดอกเบี้ย2)
หากจะมีการกำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย
รัฐบาลควรดำเนินการให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate)
มีค่าเป็นบวก ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง หมาย
ถึงอัตราดอกเบี้ยในนาม (Nominal Interest Rate)
หักด้วยอัตราเงินเฟ้อ หากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงมีค่าติดลบ
นอกจากจะบั่นทอนสิ่งจูงใจในการออมแล้ว
ยังอาจเป็นเหตุให้เงินทุนเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศอีกด้วย
ในกรณีตรงกันข้าม การที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงมีค่าเป็นบวก
ย่อมมีผลในการให้สิ่งจูงใจในการออม
และยับยั้งการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกนอกประเทศนโยบายชุดที่
5 ว่าด้วยอัตราแลกเปลี่ยน
ฉันทามติแห่งวอชิงตัน ฉบับจอห์น วิลเลียมสัน
เสนอให้ดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่เกื้อกูลการแข่งขัน
(Competitive
Exchange Rate) ซึ่งวิลเลียมสันหมายถึง
อัตราแลกเปลี่ยนที่เกื้อกูลการส่งออกนโยบายชุดที่
6 ว่าด้วยการเปิดเสรีด้านการค้าระหว่างประเทศ
(Trade
Liberalization) ฉันทามติแห่งวอชิงตัน
ฉบับจอห์น วิลเลียมสัน เสนอแนวนโยบายการค้าเสรี 2 ประการ
กล่าวคือ1)
การทำลายกำแพงภาษีศุลกากร (Tariff Barriers)
ด้วยการลดอากรขาเข้าให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดเท่า
ที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศเผชิญกับอุปสรรค
ด้านภาษีศุลกากรน้อยที่สุด
โดยที่การขยายตัวของการค้าระหว่างประเทศจะชักนำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ2)
รัฐบาลไม่ควรเก็บอากรขาเข้าจากสินค้า ขั้นกลาง (Intermediate Goods)
ที่ใช้ไปในการผลิตเพื่อการส่งออก
การเก็บอากรขาเข้าจากสินค้าขั้นกลางกระทบต่อต้นทุนการผลิต
การที่ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับสูงย่อมบั่นทอน
ฐานะการแข่งขันในตลาดโลก การเลิกเก็บอากรขาเข้าจากสินค้า
ขั้นกลางจะช่วยเสริมฐานะการแข่งขันดังกล่าวนี้นโยบายชุดที่
7 ว่าด้วยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
(Foreign Direct
Investment) ฉันทามติแห่งวอชิงตัน
ฉบับจอห์น วิลเลียมสัน
เสนอให้รัฐบาลกำหนดนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ
โดยหวังผลประโยชน์สำคัญอย่างน้อย 2 ด้าน ด้านหนึ่งได้แก่
การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ (Capital Inflow)
อีกด้านหนึ่ง ได้แก่
การถ่ายโอนเทคโนโลยีและทักษะระหว่างประเทศนโยบายชุดที่
8 ว่าด้วยการถ่ายโอนการผลิตจากภาครัฐบาลไปสู่ภาคเอกชน
(Privatization)
ฉันทามติแห่งวอชิงตันฉบับจอห์น
วิลเลียมสัน เสนอให้ลดบทบาทของรัฐบาลในด้านการผลิต
สินค้าและบริการต่างๆ โดยตรง
โดยการถ่ายโอนหน้าที่การผลิตไปให้ภาคเอกชน
ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายดังกล่าว นี้
นอกจากจะช่วยลดขนาดและบทบาทของรัฐบาลแล้ว
ยังอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบการอีกด้วย
เหตุผลที่วิลเลียมสันมองการณ์ในด้านดีจากนโยบายการถ่ายโอนการผลิตไปสู่ภาคเอกชน
ก็คือ วิสาหกิจเอกชนมีความเป็นเจ้าของ (Ownership)
และความรับผิด (Accountability)
ชัดเจนมากกว่ารัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ
แม้โดยนิตินัยมีส่วนเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจ
แต่โดยพฤตินัยมิได้สำนึกถึงความเป็นเจ้าของดังกล่าว
การบริหารจัดการจึงมิได้ทุ่มเทและรับผิดมากเท่าผู้เป็นเจ้าของในวิสาหกิจเอกชนนโยบายชุดที่
9 ว่าด้วยการลดการควบคุมและการกำกับ
(Deregulation)
ฉันทามติแห่งวอชิงตัน
ฉบับจอห์น วิลเลียมสัน
เสนอให้รัฐบาลลดการควบคุมและการกำกับระบบเศรษฐกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้โดยให้เหตุผลว่า การควบคุมและการกำกับมากเกินไป
นอกจากจะต้องเสียต้นทุนสูง
โดยที่อาจไม่คุ้มกับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้แล้ว
ยังเกื้อกูลการฉ้อราษฎร์บังหลวง
และเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจในทางฉ้อฉล
เพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลอีกด้วย ในประการสำคัญ ผู้ประกอบ
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
ซึ่งเป็นจักรกลสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในโลกที่สาม
โดยทั่วไปแล้วไม่สามารถเข้าถึงผู้มีอำนาจ
ในขณะที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่สามารถหลุดพ้นจากกระบวนการควบคุมและกำกับของรัฐบาลได้
ทั้งนี้โดยอาศัยประโยชน์จากความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์นโยบายชุดที่
10 ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
(Property
Rights) ฉันทามติแห่งวอชิงตัน
ฉบับจอห์น วิลเลียมสัน เสนอให้กำหนดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้ชัดเจน
(Property Rights Assignment)
ความไม่ชัดเจนในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
นอกจากจะก่อให้เกิดความไม่ชัดเจนในความเป็นเจ้าของแล้ว
ยังสร้างความไม่ชัดเจนในความรับผิดอีกด้วย
ความไม่ชัดเจนในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
ความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมาย
และความไร้ประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม
ทำลายสิ่งจูงใจในการออมและในการสะสมทรัพย์สิน
ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการเติบโตของระบบทุนนิยมฉันทามติแห่งวอชิงตัน
ฉบับจอห์น วิลเลียมสัน ประกอบ ด้วยนโยบาย 10 ชุด
ดังที่กล่าวข้างต้นนี้ เพียงชั่วเวลาทศวรรษเศษ
ฉันทามติแห่งวอชิงตันก็แปรสภาพเป็นนโยบายเศรษฐกิจโลก
(Global Economic
Policy)
และเป็นประเด็นแห่งวิวาทะทั้งในวงวิชาการและในทางการเมือง
แต่อย่างไรก็ตาม
ฉันทามติแห่งวอชิงตันในทศวรรษ 2540
ก็ได้รับการตีความหรือการนำไปใช้งานแตกต่างจากฉบับที่จอห์น
วิลเลียมสัน นำเสนอ ในปี พ.ศ. 2532 เป็นอันมาก[4]
จนมีผู้กล่าวไว้ว่าแม้ชุดนโยบายจากวอชิงตัน
จะมีสถานะเป็นฉันทามติในยุทธศาสตร์การพัฒนากระแสหลักของโลก
ในหมู่ผู้ดำเนินนโยบาย แต่ "ฉันทามติแห่งวอชิงตัน"
กลับมีสถานะเป็นข้อถกเถียงในวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ จนอาจกล่าวได้ว่า
"ไม่มีฉันทามติในฉันทามติแห่งวอชิงตัน"
ในวงวิชาการ[5]“ฉันทามติวอชิงตัน”
จึงตกเปนเปาของการวิพากษวิจารณอยางสูงจากบุคคลหรือกลุมบุคคลที่สนับสนุนลัทธิชาตินิยมทางเศรษฐกิจ
(Economic Nationalism)
และจากกลุมผูตอตานลัทธิทุนนิยม (Anti-capitalism)
กลุมบุคคลเหลานี้มองวา
ฉันทามติวอชิงตันมีความสัมพันธอยางใกลชิดยิ่งกับแนวคิดเสรีนิยมใหม
(Neo-liberalism or Market
Fundamentalism) อันเปนแนวคิดที่
กระตุนและสนับสนุนตลาดเสรี (Free-market)
ลดทอนการแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากภาครัฐ
และสนับสนุนใหวิสาหกิจทั้งหลายที่ดําเนินการโดยรัฐแปรรูปไปเปนของเอกชน
(Privatization)
อีกทั้งยังผลักดันใหเกิดการขยายตัวของบรรษัทขามชาติ(Multi-national
corporation) อีกดวย
กลุมผูไมสนับสนุนเชื่อมั่นวาผลของการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายใตนโยบายดังกลาวจะนําพาเศรษฐกิจของประเทศกําลังพัฒนาไปสูหายนะในทายที่สุดประเด็นของผูที่ปฏิเสธฉันทามติวอชิงตันประเทศในกลุมละตินอเมริกาบางประเทศ
อาทิ อารเจนตินา เวเนซูเอลา คิวบา และเอกวาดอร
เปนกลุมประเทศที่คัดคานการปฏิบัติตามเงื่อนไขของฉันทามติวอชิงตันโดยตางก็อางวากลุมประเทศพัฒนาแลวยัดเยียดนโยบาย
10
ประการภายใตฉันทามติวอชิงตันผานทางกฎเกณฑขององคการระหวางประเทศ
อาทิเชน ธนาคารโลก องคการการคาโลกและกองทุนการเงินระหวางประเทศ
ซ้ำยังผานทางแรงกดดันทางการเมืองและระบบศักดินาขามชาติ นอกจากนี้
ยังอางวาฉันทามติวอชิงตันมิไดกอใหเกิดความเจริญทางเศรษฐกิจหากแตกอใหเกิดหนี้สิน
และความลมเหลวทางการเงินของประเทศในกลุมละติน
อเมริกา เนื่องจากนโยบายการสงเสริมการคาเสรี
ภายใตฉันทามติวอชิงตันกอใหเกิดการเคลื่อนย้ายขามแดนอยางเสรีเฉพาะตัวสินคาเทานั้น
หากแตมิไดกอใหเกิดความเคลื่อนไหวย้ายเสรีของแรงงานตามไป
ดวย จากขอบกพรองดังกลาว
จึงกอใหเกิดสภาวการณที่สินคาไดรับการผลิตดวยแรงงานราคาถูกในประเทศยากจน
ตอมาสินคานั้นถูกลําเลียงไปขายยังประเทศที่มีความแขงแกรงทางเศรษฐกิจ
อันเปนประเทศเจาของเงินทุน
โดยผูนําเขาสินคาจะขายสินคาในราคาที่สูงกวาตนทุนหลายเทาขอเสียของระบบดังกลาวไดแก
ประการแรก กลุมผูใชแรงงานในประเทศดอยพัฒนา
หรือประเทศกําลังพัฒนาก็ยังคงสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากจนเชนเดิม
เนื่องจากไดรับคาจางในราคาถูก ประการที่สอง
เจาของเงินทุนก็ยิ่งสามารถตักตวงกําไรจากสวนตางระหวางราคาขายของสินคากับตนทุนและทําใหเกิดการขยายตัวของบริษัทขามชาติ
บนความไมเปนธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ประการที่สาม
ผูบริโภคในประเทศพัฒนาแลวยังคงตองบริโภคสินคานําเขาในราคาที่สูงอยูเชนเดิม
ประการที่สี่
กลุมผูใชแรงงานในประเทศพัฒนาแลวอันเปนกลุมแรงงานราคาแพงตองเผชิญกับสภาวะการวางงานนอกจากนี้ฝายคานยังมีความเห็นวา
นโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การปฏิรูปทางภาษี
และการที่รัฐปลอยใหเอกชนดําเนินธุรกรรมทางเศรษฐกิจโดยไมมีการกํากับดูแล
เปนนโยบายการเปดเสรี
สุดโตงอันจะกอใหเกิดประโยชนแกประเทศที่มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเปนทุนเดิมอยูแลวเทานั้น
แตไมสามารถนํามาปรับใชกับประเทศกําลังพัฒนาไดในทันที
เนื่องจากประเทศเหลานี้ยัง
จําเปนตองอาศัยการแทรกแซงของรัฐเพื่อสรางสนามแขงขันที่เทาเทียมกันระหวางกลุมผูมีเงินทุนหนากับกลุมผูที่เริ่มกอตั้งธุรกิจ ประเด็นของผูสนับสนุนฉันทามติวอชิงตันในขณะที่มีผูออกมาประกาศตัวเปนฝายคานแนวความคิดของจอหน
วิลเลียมสัน อยางชัดเจน
ก็มีหลายฝายที่ออกมาปกปองและสนับสนุนฉันทามติวอชิงตัน อาทิเชน
ประเทศชิลี เปรู อุรุกวัย และบราซิล โดยกลุมผูสนับสนุนกลาววา
นับแตประเทศของตนดําเนินนโยบายทางเศรษฐกิจตามแบบฉันทามติวอชิงตัน
ประเทศของตนมีอัตราเงินเฟอคงที่อยูในระดับต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษที่ผานมา
แรงงานที่ทํางานในโรงงานที่ถือครองโดยบริษัทขามชาติไดรับเงินเดือนที่มากกวาที่เคยเปนอยู
กอปรกับมีสภาพการจางงานที่ดีกวาเดิม
สภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมมีอัตราเพิ่มขึ้นสูงสุดเปนประวัติการณ
แมจะยังมีความยากจนและความไมเทาเทียมในสังคมใหเห็นอยูบางก็ตามหากทําการศึกษาพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศชิลี
บราซิล เอลซาวาดอรและอุรุกวัย
จะพบวาประเทศเหลานี้เปนตัวอยางความสําเร็จของฉันทามติวอชิงตัน
เนื่องจากมีการแสดงสัญญาณในเชิงบวกของพัฒนาการทางเศรษฐกิจ
แมจะมีการเจริญเติบโตในอัตราที่ชาไปบาง
แตระดับความยากจนของประเทศเหลานั้นก็ลดลงขอสังเกตอีกประการหนึ่งที่ฝายผูสนับสนุนฉันทามติวอชิงตันชี้ใหเห็นคือ
แมประเทศที่ไมเห็น
ดวยกับกับฉันทามติฉบับดังกลาว
จะหันไปใชวิธีอื่นในการดําเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ
แตในทางปฏิบัติประเทศเหลานี้ก็มิได
ดําเนินนโยบายที่มีเนื้อหาสาระแตกตางไปจากฉันทามติวอชิงตันมากนัก
อีกทั้งเมื่อสถานะทางการเงินของประเทศเหลานั้นมีความมั่นคงมากขึ้น
ประเทศเหลานั้นก็กลับยืนยันที่จะดําเนินนโยบายทางเศรษฐกิจตามเดิม
จุดนี้สะทอนใหเห็นวา
ปจจุบันยังไมมีนโยบายทางเศรษฐกิจใดที่ดีไปกวา 10
นโยบายตามฉันทามติวอชิงตันฉันทามติวอชิงตันลมเหลวจริงหรือหลังจากที่หลายฝายออกมาวิพากษวิจารณแนวคิดของจอหน
วิลเลียมสัน เจาของแนวคิดการรวมนโยบาย 10
ประการไวภายใตฉันทามติวอชิงตัน วิลเลียมสันก็มิอาจนิ่งดูดาย
และออกมาปกปองแนวคิดของตน ดังนี้หลักที่สําคัญที่สุดของฉันทามติวอชิงตัน
คือ การมีวินัยในการดําเนินเศรษฐกิจแบบตลาด
และการเปดเสรีสูตลาดโลก
อยางนอยที่สุดใหมีการปรับใชหลักนี้กับการคาและการลงทุนโดยตรงจากตางประเทศ
(Foreign direct
investment -FDI) อันเปนแนวทางที่ไดรับการยอมรับจาก
กลุมประเทศสมาชิกองค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ
(Organization for Economic Cooperation and Development
-OECD)[6]
อยูแลว นักวิชาการในปจจุบันที่ไดวิจารณแนวความคิดฉันทามติวอชิงตัน
โดยเฉพาะ ศาสตราจารย์ ดร. โจเชฟ สติกลิทซ์ (Joseph E.
Stiglitz) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน
มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ.
2001 ก็มิไดปฏิเสธหลักการดังกลาว
หากแตการมีการขยายขอบเขตการวิพากษวิจารณออกไปยังประเด็นที่
วิลเลียมสันเอง “จงใจ”
ที่จะไมนํามารวมไวภายใตฉันทามติวอชิงตัน อาทิ
การเปดเสรีบัญชีเงินทุนMonetarism
เศรษฐศาสตรฝงอุปทาน (Supply-side economics)
และการใหรัฐมีบทบาทนอย (Minimal state)
เนื่องจากเห็นวามิใชแนวทางที่เหมาะสมสําหรับประเทศกําลังพัฒนานอกจากนี้
ในทางปฏิบัติของประเทศแถบละตินอเมริกา ไดมีการตีความฉันทามติวอชิงตัน
มากไปกวาที่วิลเลียมสันไดจงใจใหหมายความรวมถึง
อันสงผลใหเกิดความลมเหลวหรืออยางนอยก็
สงผลใหประเทศในกลุมนี้ประสบกับความผิดหวัง
เนื่องจากฉันทามติวอชิงตันไมกอใหเกิดการเติบโต
การจางงานหรือลดความยากจนเทาที่ควรเหตุเหลานี้ไมอาจนํามากลาวไดอยางเต็มที่วาเปนความลมเหลวที่เกิดมาจากฉันทามติวอชิงตันโดยเฉพาะในกรณีของประเทศอารเจนตินา
ซึ่งนายวิลเลียมสันไดระบุวาไมอาจอางไดเลย
วาไดมีการนําฉันทามติวอชิงตันมาใช
เพราะแมอารเจนตินาจะมีการปรับปรุงโครงสรางภายในพอสมควรแตก็ไดทํา
ผิดอยางมากในสองกรณี คือ
การมีนโยบายเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนที่ไมแขงขัน
และนโยบายทางการเงินการคลังที่ไมเข็มแข็ง
ทั้งสองกรณีนี้ตรงกันขามกับแนวความคิดฉันทามติวอชิงตันอยางสิ้นเชิงสวนในประเทศอื่นๆ
ความลมเหลวของฉันทามติวอชิงตันสามารถพิจารณาไดวา
เกิดจากสาเหตุตางๆ ดังนี้1.
การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นเปนชวงๆ นับตั้งแตป ค.ศ. 1994 (พ.ศ.
2537) ทําลายการเจริญเติบโตของตลาดที่เกิดขึ้นใหม
แมจะเปนความจริงที่ฉันทามติวอชิงตันมิไดกลาวถึงแนวทางในการหลบเลี่ยงปญหาดังกลาว
หรือแมกระทั่งมิไดเตือนวาอาจมีเหตุการณดังกลาวเกิดขึ้นได
แตในกรณีนี้
วิลเลียมสัน ไดใหความเห็นวา
ประเทศตางๆไมควรที่จะนําฉันทามติวอชิงตันมาใชโดยไมคํานึงถึงสภาพการอื่นๆ
เพราะฉันทามติวอชิงตันเปนเพียงแนวความคิดในเชิงเสนอแนะในการกําหนดนโยบายของรัฐเทานั้น2.
การดําเนินการจัดระบบเศรษฐกิจของรัฐไมไดเกิดขึ้นอยางจริงจังและสมบูรณโดยเฉพาะในสวนของการตลาดแรงงาน
ตลาดการเงินการคลังและการเสริมความแข็งแกรงใหสถาบันทางการเงิน3.
การตีความวัตถุประสงคของฉันทามติวอชิงตันแคบเกินไป
โดยเฉพาะการเรงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอยางเดียว
โดยไมคํานึงถึงการกระจายรายไดอยางมีประสิทธิภาพ
ในสวนนี้วิลเลียมสัน
เห็นวาเปนสวนสําคัญที่จะเสริมใหฉันทามติวอชิงตันไม่ประสบความสําเร็จ[7] มุมมองและทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงต่อการนำฉันทามติวอชิงตันมาประกอบการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศศาสตราจารย์
เฌราร์ด โปโกแรล (Gerard Pogorel)
นักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง ประจําสถาบัน Ecole
National Superieure des Telecommunications
แหงสาธารณรัฐฝรั่งเศส ในคราวบรรยายทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ
ครั้งที่ 3 เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมี
พระชนมายุครบ 80 พรรษา เรื่อง “National Economic Policy
Preferences and the End of Washington Consensus” เมื่อวันที่
9 ตุลาคม 2550 เวลา 09.00-12.00 น. ณ อาคารหอประชุมชั้น 2
สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
ได้ให้มุมมองและทัศนะต่อการนำฉันทามติวอชิงตันมาประกอบการวางนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ
ไว้ดังนี้1.
ระดับของการวางแผนเศรษฐกิจของประเทศนั้น ประกอบด้วย 3
ระดับคือ
(1) ระดับการเติบโตของเศรษฐกิจมหภาค (Macro Economic
growth)
(2) ระดับสถาบันภาคการผลิต
และการมุ่งเน้นสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ (Productive
institutions and Incentives to economic growth)
(3) ระบบกลุ่มอุตสาหกรรม (Industrial Choices
(Sectoral))
2. ในระดับการเติบโตของเศรษฐกิจมหภาค
สิ่งจำเป็นที่ต้องคำนึงถึงในการดำเนินการคือ
(1)
การลงทุนทางด้านการศึกษาจะต้องมีความสอดคล้องกับวินัยด้านการงบประมาณ
(Education
investments compatible within budgetary
discipline)
(2) ปฏิรูปการยกระดับและเพิ่มผลิตภาพของประเทศ
(Productivity-boosting reforms)
(3) การจัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนโดยตรง
(Direct Programs to support the poor)
3. ในระดับสถาบันภาคการผลิต
และการมุ่งเน้นสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ
สิ่งจำเป็นที่ต้องคำนึงถึงในการดำเนินการคือ
(1) เสริมสร้างบรรยากาศในการลงทุน (Improving the
investment climate)
(2)
ยกเลิกหรือลดข้อจำกัดขอ
ไม่มีความเห็น