ชาวพม่าส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทเช่นเดียวกับไทยเรา แต่ถ้าเทียบวิถีชีวิตระหว่างชาวไทยกับชาวพม่าในยุคสมัยนี้
กุศลคือทุน :
กลไกแห่งความสำเร็จของพม่า
ชาวพม่าส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทเช่นเดียวกับไทยเรา
แต่ถ้าเทียบวิถีชีวิตระหว่างชาวไทยกับชาวพม่าในยุคสมัยนี้
คนพม่าดูจะมีความเหนือกว่าในด้านศรัทธาและความใกล้ชิดต่อศาสนา
จนอาจกล่าวได้ว่าวิถีพุทธกับวิถีชีวิตของชาวพม่าเป็นสิ่งเดียวกัน
ดังพบว่า คนพม่าทุกวัยไม่ว่าเด็กเล็ก คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ คนชรา
ต่างนิยมสวดมนต์และนั่งสมาธิ
ในเวลาว่างจะไปยังพระเจดีย์เพื่อสรงน้ำพระและทำบุญ
ชาวพุทธทุกบ้านต้องมีหิ้งพระ
และมีการถวายอาหารและผลไม้แด่พระประจำบ้านอยู่เป็นประจำ
ทั้งยังนิยมสวดมนต์ไหว้พระทั้งในเวลาก่อนนอนและตื่นนอน
ที่หิ้งพระจะมีกังสดาลแขวนไว้เพื่อใช้ตีแผ่ส่วนกุศล
แทบทุกบ้านมักจะมีหนังสือสวดมนต์
คนขับรถแท็กซี่บางคนจะพกหนังสือสวดมนต์ติดไว้กับรถ
รถโดยสารประจำทางบางคันจะเปิดเทปธรรมะก่อนที่จะออกเดินทาง
สื่อของรัฐไม่ว่าจะเป็นทางวิทยุ
หรือโทรทัศน์ต่างเอาใจใส่ต่อกิจที่เนื่องกับศาสนา ดังมีรายการต่าง
ๆ อาทิ รายการสวดพระปริตรในทุกเช้า รายการธรรมเทศนา
รายการเพลงพุทธศาสนา รายการนิทานธรรมะ และข่าวกิจกรรมทางศาสนา
นอกจากนี้ทางสิ่งพิมพ์ต่างๆทั้งของรัฐและเอกชนมักจะมีเรื่องราวทางพุทธศาสนาแทรกอยู่ตลอดเวลา
หนังสือและตำราเกี่ยวกับพุทธศาสนามีวางจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย
จึงนับว่าพุทธศาสนาได้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับผู้คนในสังคมพม่าอย่างกว้างขวาง
ในความเป็นสังคมพุทธนั้น สังคมพม่ามักมีกิจกรรมตามพุทธประเพณีอยู่ตลอด
จึงทำให้ผู้คนไม่ห่างเหินจากศาสนาจนนาน อาทิ
ถวายอาหารและปัจจัยแด่สงฆ์ ชี และโยคี จัดงานบวชให้กับบุตรธิดา
มีการสร้างและบูรณะศาสนสถานกันอยู่เนืองๆ
อีกทั้งยังมีการสืบทอดประเพณีสิบสองเดือนของชาวพุทธไว้อย่างครบครัน
นอกจากนี้ชาวพม่ายังมีค่านิยมในการประกอบกิจทางศาสนานานา อาทิ
บริจาคทรัพย์ ฟังธรรม บวชเรียน สักการะพระพุทธรูปและพระเจดีย์
แผ่เมตตา สวดมนต์ บริกรรมนับสร้อยประคำ และนั่งสมาธิเจริญภาวนา
ชาวพม่าถือว่าบุญกริยาเช่นนี้ถือเป็นกิจที่จะต้องยึดเป็นพุทธานุสติโดยสม่ำเสมอ
ด้วยเชื่อว่าผลแห่งการทำบุญและปฏิบัติบูชาตามกล่าวจะค่อย ๆ
งอกงามเป็นกุศล อันจะเกื้อให้ชีวิตอยู่ดีมีสุข จิตใจสงบแจ่มใส
ปัญญาแหลมคม สุขภาพดี ความคิดดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
เป็นที่รักของทั้งคนและเทพ และจักมีผู้คอยให้การเกื้อกูลอยู่เสมอ
อีกทั้งยังเชื่อว่ากุศลจะเป็นทุนหนุนให้การขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์สัมฤทธิ์ตามที่จิตปรารถนา
เหตุนี้คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่าชาวพุทธพม่าจะยึดพุทธศาสนาไว้เป็นที่พึ่งทั้งทางกายและทางใจ
ทั้งทางโลกียสุขและโลกุตรสุข
พุทธศาสนาจึงสอดคล้องกับความต้องการของชีวิตอย่างปุถุชน
ซึ่งเป็นไปตามแนวศรัทธาที่สืบทอดกันมานับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
การที่จะทำความเข้าใจในเบื้องลึกแห่งศรัทธาต่อพุทธศาสนาของชาวพม่านั้น
จึงอาจมองได้จากค่านิยมในการสั่งสมบุญกุศล
ที่ถูกวิจารณ์ว่ามักโยงใยไว้กับความปรารถนาทางโลกเป็นหลักใหญ่
การสร้างสมกุศลวิธีหนึ่งที่นิยมกันมาก
ด้วยถือเป็นบุญกริยาสำคัญอย่างหนึ่งของชาวพุทธพม่า คือ
การเดินทางแสวงบุญ พม่าเรียกการแสวงบุญนี้ ว่า พยาพู (46iktz^t) คำว่า
พยา (46ikt) หมายถึง “พระเจดีย์หรือพระพุทธรูป” ส่วน พู (z^t) แปลว่า
“ไหว้,นมัสการ” คำว่า พยาพู จึงแปลง่ายๆได้ว่า “ไหว้พระ”
ชาวพม่าเชื่อว่าการบำเพ็ญบุญด้วยการเดินทางไปนมัสการพระพุทธรูปและพระเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่าง
ๆ นั้น ไม่เพียงได้กุศลมาก
หากยังถือเป็นกำไรชีวิตสำหรับผู้แสวงบุญอีกด้วย
กำไรชีวิตที่ว่านั้นได้หมายรวมเอาการขอพรเป็นเป้าประสงค์อันสำคัญ
ในบรรดาศาสนสถานของประเทศพม่า ซึ่งจำแนกเป็น ๔ ประเภท คือ โบราณสถาน
ปูชนียสถาน สถานปฏิบัติธรรม และสถานศึกษาพระธรรมวินัยนั้น
ชาวพม่าจะนิยมเดินทางไปแสวงบุญยังศาสนสถานที่เป็นปูชนียสถานเป็นส่วนมาก
พม่ามีปูชนียสถานมากมาย
และมีปูชนียสถานที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันดีหลายแห่ง อาทิ
เจดีย์ชเวดากองที่ย่างกุ้ง เจดีย์ชเวมอด่อ(พระธาตุมุเตา)ที่เมืองพะโค
เจดีย์ไจ้ก์ทีโย(พระธาตุอินทร์แขวน)ที่รัฐมอญ
เจดีย์ชเวซังด่อที่เมืองแปร
เจดีย์มยะตะลวนและชเวแซะด่อ(พระพุทธบาท)ที่เมืองมะเกว
เจดีย์ชเวซีโก่งและเขาโปปาที่พุกาม พระมหามัยมุนีที่มัณฑะเล เป็นต้น
เส้นทางที่นิยมในการเดินทางไปแสวงบุญ เช่น
ย่างกุ้ง-พุกาม-มัณฑะเล,ย่างกุ้ง-พะโค และย่างกุ้ง-เมาะลำไย
ชาวพม่าส่วนมากนิยมเดินทางแสวงบุญกันในฤดูหนาว รองลงไปเป็นฤดูร้อน
และมักงดการเดินทางกันในฤดูฝน และนิยมเดินทางเป็นหมู่คณะ โดยเหมารถตู้
รถบัส รถกระบะ หรืออาจไปด้วยรถส่วนตัว
หากเหมารถจะตกวันละราวหนึ่งหมื่นจั๊ต ซึ่งนับว่าแพง
หากต้องการประหยัดก็จะเดินทางไปด้วยรถที่จัดสำหรับการแสวงบุญโดยเฉพาะ
แต่ในการบริการลักษณะนี้นั้น
ทางบริษัทนำเที่ยวจะกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาไว้ตายตัว
ดังนั้นการไปแสวงบุญเป็นหมู่คณะโดยเหมารถไปเองจึงเป็นที่นิยมเพราะสะดวกและเพลิดเพลินมากกว่า
สามารถใช้เวลาไหว้พระได้เต็มที่ โดยไม่ต้องรีบร้อน
ในการเดินทางไปแสวงบุญ
มักมีการกำหนดเส้นทางให้สามารถแวะไหว้พระสำคัญให้ได้มากที่สุด
อาจใช้เวลาเดินทาง ๕ - ๑๐ วัน ชาวพม่าส่วนมากจะพักค้างคืนตามวัดต่างๆ
บางวัดมีการจัดที่รับรองไว้สำหรับคณะแสวงบุญ
ส่วนค่าที่พักนั้นค่อนข้างประหยัด
เพราะสามารถบริจาคเงินทำบุญให้กับวัดตามแต่กำลังทรัพย์
ส่วนชาวต่างชาติจำเป็นต้องพักตามโรงแรม
และต้องจ่ายค่าที่พักเป็นเงินดอลลาร์ หรือ เงิน FEC (ดอลลาร์พม่า)
เว้นแต่จะปฏิบัติตัวกลมกลืนไปกับชาวพม่า ก็อาจพักตามวัด
ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก
ในขณะเดินทางไปตามเส้นทางแสวงบุญ
มักจะพบปะรำบอกบุญตั้งอยู่ริมทางเป็นระยะ
มีการโบกดักทางเพื่อเรี่ยไรเงินจากผู้สัญจรไปมา
ผู้โดยสารที่เดินทางไปแสวงบุญมักจะต้องเตรียมเงินปลีก ใบละ ๑ จั๊ต ๕
จั๊ต หรือ ๑๐ จั๊ต เพื่อโปรยให้กับปะรำบอกบุญริมทาง
(โดยไม่จำเป็นต้องหยุดรถ)
บางทีอาจพบเด็กๆวิ่งไล่กวดรถเพื่อขอเงิน
ชาวพม่าบางคนมักไม่โปรยทานให้กับเด็กเหล่านั้น
เพราะเชื่อว่าได้กุศลน้อยกว่าการทำบุญให้กับวัดโดยตรง
การมุ่งในกุศลด้วยศรัทธาจริตและหวังผลตอบแทนจากการประกอบกรรมดีเช่นนี้นั้น
ดูจะเป็นปกติในสังคมพม่า
ชาวพม่าเชื่อว่าพระพุทธรูปและพระเจดีย์แต่ละองค์จะมีความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนานา
เช่น
เชื่อว่าหากเดินทางไปไหว้พระเจดีย์ไจ้ก์ทีโยหรือพระธาตุอินทร์แขวนที่รัฐมอญจนครบ
๓ ครั้ง จะช่วยให้มั่งมีศรีสุข
แต่เล่ากันว่าเส้นทางนี้เคยเป็นเส้นทางค้ายาเสพติด หากขนได้ถึง ๓
เที่ยว ก็คงร่ำรวยได้ทันตา ; หากไปไหว้พระมารอ่องมุนีที่เมืองซโลน
จะไม่ต้องพลัดพลากจากถิ่นกำเนิด หรือไม่ต้องห่างจากครอบครัว
หากของหายหรือเงินหายก็จะได้คืนโดยง่าย ตามประวัติ
พระมารอ่องมุนีเป็นพระพุทธรูปที่อังกฤษเคยนำไปไว้ที่อินเดียและจำต้องส่งกลับคืนมาที่พม่าในภายหลัง
ประวัติมีกล่าวถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่ออกจะพิสดาร
แต่ชาวพม่าที่จะเดินทางไปเป็นลูกเรือในต่างประเทศจะไม่กล้าไปไหว้พระองค์นี้เพราะกลัวถูกส่งตัวกลับบ้านเร็ว;
ถ้าอยากให้ก้าวหน้าในตำแหน่งการงานหรือธุรกิจการค้ารุ่งเรือง
ก็ต้องไปไหว้พระชเวโบงป้วงที่ย่างกุ้ง;
หากไปไหว้พระชเวแมะหม่าง(พระสวมแว่น)ที่เมืองแปร ความคิดอ่านจะดี
และท่องจำเก่ง; หากอยากมีบ้านมีรถ
คนพม่าจะไปขอพรจากโพโพจี(พ่อปู่)ที่วัดโพตะทองในย่างกุ้ง;
หากไปไหว้พระที่วัดสัมพุทเธที่เมืองโมงยวา
จะคลาดแคล้วจากอุบัติเหตุทางรถ ; หากต้องการได้รับการอภัยโทษ
ก็ควรไปไหว้พระอะมแยะด่อปะเหย่ที่พุกาม ;
หากไปไหว้พระกะเด๊าะปะเลงที่พุกาม
ความผิดที่มีต่อบิดามารดาจะได้รับการอภัย ;
หากต้องการให้ได้รับความเป็นธรรมในคดีความ ให้ไปไหว้พระไจ้ก์มะยอ
ที่รัฐมอญ; ส่วนชาวพม่าที่อยากไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น
จะนิยมไปขอพรจากพระกัมมาปุระที่พระเจดีย์มอด่อในเมืองพะโค
เนื่องเพราะพระพุทธรูปองค์นี้ชาวญี่ปุ่นนำมาถวายวัด;
แต่ถ้าปรารถนาจะมาเมืองไทย
มักนิยมไปไหว้พระแก้วมรกตจำลองที่พระเจดีย์ไจ้ก์กะลวนป่วนที่เมืองธนุผยู่
เป็นต้น
ความเชื่อต่อความศักดิ์สิทธิ์นานาของพระพุทธรูปและพระเจดีย์นั้น
จึงเป็นที่มาของความนิยมในการเดินทางเพื่อแสวงบุญ
ดังนั้นนักแสวงบุญที่ประสงค์จะเดินทางไปไหว้พระไหว้เจดีย์ในประเทศพม่า
จึงมักต้องมีความรู้เหล่านี้ หากไปขอพรในสิ่งที่พระท่านไม่ชำนาญ
ก็จะกลายเป็นเพียงนักแสวงบุญที่ขาดความรอบรู้ นอกจากนี้
ชาวพม่ายังมีความเชื่อว่าการแสวงบุญภายในวันเดียวและไหว้พระให้ได้ครบตามกำหนด
จะช่วยให้ได้กุศลมาก และพรที่ขอก็จะสัมฤทธิ์ผล ดังเช่น
การเดินทางไหว้พระเจ้า ๙ องค์ภายในวันเดียว เป็นต้น
เหตุที่นิยมกันนั้น เข้าใจว่าเป็นเพราะเชื่อตามคำแนะนำของหมอดู
ส่วนมากจะทำกันเช่นนี้ก็เพื่อการสะเดาะเคราะห์
คนที่มีความปรารถนามากหรือมีความกังวลมาก และมีศรัทธาสูง
ก็คงต้องปฏิบัติกันไปตามนั้น
ชาวพม่าทั่วไปต่างมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะต้องหาโอกาสเดินทางแสวงบุญ
เคยมีเรื่องเล่าว่า หญิงชราผู้หนึ่งอายุกว่า ๙๐ ปี เป็นชาวอำเภอกะวะ
ในจังหวัดพะโค เมื่อวัยสาว เธอว่าตนเคยสิ้นใจไปหนหนึ่ง
แล้วนอนแน่นิ่งอยู่หลายวัน แต่ญาติไม่ทันได้จัดงานศพ
ด้วยร่างของเธอไม่ได้เน่าเปื่อยอย่างคนตายปกติ เมื่อฟื้นขึ้น
เธอเล่าว่ามีพ่อปู่ห่มผ้าขาวพาเธอไปไหว้พระเจดีย์หลายแห่ง
ต่างเป็นเจดีย์ที่เธอรู้จักเพียงชื่อ
และไม่เคยเดินทางไปสักการะด้วยตนเองมาก่อน เธอมีปีติอย่างที่สุด
และเชื่อว่าเป็นการแสวงบุญอย่างแท้จริงของเธอ
เธอยังเชื่ออีกว่าพ่อปู่ผู้นั้นเป็นปฐมังโพโพอ่อง
นักบุญที่ไม่มีวันตายของพม่า
การฟื้นจากความตายและคำอ้างของเธอที่ได้ไปไหว้พุทธเจดีย์เป็นตุเป็นตะนั้น
บอกถึงความศรัทธาอย่างสุดซึ้งที่เธอมีต่อพุทธเจดีย์ และเมื่อราวกลางปี
๒๕๔๑ เงินจั๊ตของพม่ามีค่าตกลงมาอย่างมาก อัตราที่เคยแลกได้ราว ๓๐๐
จั๊ตต่อ ๑ เหรียญสหรัฐ มีค่าตกลงไปถึงกว่า ๔๐๐ จั๊ต
รัฐบาลจึงออกคำสั่งปิดร้านแลกเงินตราต่างประเทศ
ร้านที่เคยได้รับอนุญาตจึงต้องหยุดกิจการไปอย่างไม่มีกำหนด
ในเหตุการณ์ครั้งนั้น
มีร้านแลกเงินร้านหนึ่งได้เขียนป้ายติดไว้ที่หน้าร้านว่า
“เจ้าของร้านไปแสวงบุญ” จึงประจักษ์ชัดว่าการแสวงบุญนั้น
มีความหมายต่อชาวพม่ามากเพียงใด
จะเห็นว่าชาวพุทธพม่านิยมเดินทางแสวงบุญกันมากก็ด้วยมีความปรารถนาในบุญกุศล
สำหรับชาวพุทธพม่าแล้วสิ่งที่มีค่าควรต่อการทำบุญสร้างกุศลนั้น ก็คือ
พระพุทธรูปและพระเจดีย์สำคัญ เพราะเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์
และเป็นกองบุญที่ยิ่งใหญ่เสมอด้วยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และยังเชื่ออีกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์จะสามารถประสาทพรให้ได้เฉพาะสิ่งเฉพาะเรื่อง
ความเชื่อดังนี้จึงดูจะคล้อยตามความเชื่อในเรื่องผีนัต(o9N)ของชาวพม่า
ที่เชื่อกันว่าผีนัตแต่ละองค์จะมีความจัดเจนในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้การเดินทางไกลเพื่อแสวงบุญยังถือเป็นการสั่งสมกุศลที่ยิ่งใหญ่
และยังเป็นโอกาสดีที่จะได้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตลอดเส้นทางที่ท่องไปนั้น
โดยทั่วไปแล้ว ชาวพม่ามักจะขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเป็นปกตินิสัย
จนดูประหนึ่งว่าการขอพรเป็นกิจจำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการแก้ปัญหาชีวิต
มักต้องยึดเอาการขอพรเป็นหนทางหนึ่ง พม่าเรียกการขอพรว่า ซุตอง
(C6g9k'Nt) คำว่า ซุ (C6) แปลว่า “พร” หรือ “รางวัล” ส่วน ตอง
(g9k'Nt) แปลว่า “ขอ”
คนพม่านับแต่วัยเยาว์จะได้รับการปลูกฝังให้กราบไหว้และขอพรจากองค์พุทธเจดีย์และพระพุทธรูป
และสอนให้รู้จักรับพรจากปูชนียบุคคล อันได้แก่ พระสงฆ์ พ่อแม่
และครูบาอาจารย์ โดยต้องกระทำด้วยใจกายที่นอบน้อม
อีกทั้งชาวพม่าอีกไม่น้อยยังยำเกรงต่อองค์เทพ วิญญาณ และผู้วิเศษ
ที่พม่าเรียกรวมๆว่า นัต และนิยมขอพรต่อสิ่งเหล่านี้ตามโอกาส
ทั้งนี้เป็นเพราะชาวพม่ามีความเชื่อมั่นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทั้งที่เป็นองค์แทนวิสุทธิเทพ(พระพุทธเจ้า พระอรหันต์)
อุปัตติเทพ(เทวดา) และวิญญาณศักดิ์สิทธิ์(ภูตผี)
ต่างมีอิทธิฤทธิ์ที่จะช่วยคุ้มครอง ป้องกันภัย และประทานลาภให้ได้
พม่าจึงมีการนับถือและขอพรจากพระพุทธรูป พระเจดีย์ ตลอดจนเทพนัต
และภูติผี
การกล่าวขอพรเป็นภาษาพม่า จะกล่าวเริ่มที่คำที่เป็นพรต่างๆ
แล้วตามด้วยถ้อยคำว่า บ่าเส่ (xjg0) ซึ่งเทียบกับไทยว่า
“ขอให้” เช่น ขอให้มีความสุข พม่าจะพูดว่า ชางต่าบ่าเส่ (-y,Ntlkxjg0)
คำว่า ชางต่า (-y,Ntlk) แปลว่า “มั่งมี,สุขสบาย,สงบสุข”
พรที่ชาวพม่านิยมขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีมากมาย หากไม่รู้จะขออะไร
พรที่ขอมักจะเป็นเรื่องดังต่อไปนี้
ขอให้มีความสุข
-y,Ntlkxjg0
อ่านว่า
ชางต่าบ่าเส่
ขอให้มีสุขภาพดี
dyoNt,kxjg0
อ่านว่า
จางหม่าบ่าเส่
ขอให้พ้นภยันตราย
g4tioNd'Ntxjg0 อ่านว่า เบยางกีงบ่าเส่
ขอให้อายุยืนยาว
vldNiaPNxjg0 อ่านว่า อะแต๊ะเชบ่าเส่
ขอให้ประสบผลสำเร็จ gvk'Ne,'Nxjg0
อ่านว่า อ่องเหมี่ยงบ่าเส่
หากประสงค์ที่จะได้พรอย่างเฉพาะเจาะจง
ตรงกับความต้องการที่หมายมั่นไว้ ก็ต้องแล้วแต่จะขอกันไป
พรที่ชาวพม่านิยมขอและมักจะเขียนติดไว้ตามที่เสี่ยงทายในศาสนสถานเกือบทุกแห่งมีอาทิ
ขอให้ถูกหวย
5ugxjdNNxjg0
อ่านว่า ถี่เป้าบ่าเส่
ขอให้สอบไล่ได้
0kg,tx:cgvk'Nxjg0
อ่านว่า ซาเมบ่วยอ่องบ่าเส่
ขอให้ได้เลื่อนตำแหน่ง ik5^t96bte,a'NHxjg0
อ่านว่า ยาทูโตเมี่ยงบ่าเส่
ขอให้เป็นเศรษฐี
l^g{tez0Nxjg0
อ่านว่า ตะเทพิ๊จบ่าเส่
ขอให้ได้ไปต่างประเทศ O6b'N'"e-ktO6b'N'"gikdNxjg0
อ่านว่า
ไหน่หงั่งชาไหน่หงั่งเย่าบ่าเส่
สำหรับคำอธิษฐานที่มักจะกล่าวร่วมในการขอพรอื่นๆและเป็นพรที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธ
แต่อาจดูห่างไกลจากวิถีชีวิตของปุถุชนโดยทั่วไป ก็คือ
ขอให้เข้าถึงนิพพาน
obr¾koNgikdNxjg0
อ่านว่า เนะบานเย่าบ่าเส่
หากพิจารณาจากการแสวงบุญที่เน้นการขอพรของชาวพม่านั้น
กล่าวได้ว่าชาวพุทธพม่าก็ดูคล้ายกับชาวพุทธทั่ว ๆ ไป
นั่นคือในด้านหนึ่งเราอาจจะได้พบกับชาวพม่าที่มีความรู้และศรัทธาในหลักธรรมอย่างแท้จริง
ส่วนอีกด้านหนึ่งเรามักจะได้พบชาวพม่า
ที่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของอำนาจพุทธคุณ
ชาวพุทธพม่าจำนวนไม่น้อยจะยึดคำสวดมนต์เป็นดุจคาถาอันศักดิ์สิทธิ์
มีความนิยมบริกรรมบทสวดขณะที่นับลูกประคำเพื่อบูชาและวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมีพระเจดีย์เป็นอาทิ
และสังเกตได้ว่าชาวพม่าทำบุญโดยมีเป้าหมายเพื่อความสุขในโลกนี้เป็นหลักแรก
รองลงไปอาจเป็นไปเพื่อความสุขในโลกหน้า
แต่คงเป็นส่วนน้อยที่จะหวังบรรลุนิพพานอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม
เชื่อว่าความดีงามของพุทธศาสนาคงจะซึมแทรกอยู่ในพิธีกรรมและวัตรปฏิบัติเหล่านั้น
และแม้พุทธศาสนาจะสอนให้พึ่งตนเองแทนที่จะพึ่งอำนาจวิเศษใดๆ
แต่การขอพรก็กลายเป็นวิถีชีวิตหนึ่งของชาวพุทธพม่า
ที่สืบทอดปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนมาแต่โบราณ
จึงพอจะกล่าวได้ว่าชาวพม่าที่เชื่อในอำนาจศักดิ์สิทธิ์นั้นอาจไม่หวังพึ่งการแสวงหาทางออกให้กับชีวิตด้วยปัญญาเพียงหนทางเดียว
เพราะคงจะพอใจกับความสุขลึกๆจากการสร้างกุศลและขอพร
ในโลกทัศน์ของชาวพุทธพม่า
การสั่งสมกุศลและความสัมฤทธิ์ในพรจึงดูจะมีความสอดคล้องกันอย่างเป็นมรรคเป็นผล
บุญกุศลจึงมีความหมายเป็นสิ่งที่สามารถแทนได้กับความปรารถนาทางโลก
กุศลในนัยเช่นนี้จึงอาจเปรียบได้กับเงินทุนที่ฝากไว้กับธนาคาร
ในขณะที่พรที่ได้รับจากการอธิษฐานออกจะคล้ายกับดอกเบี้ยที่งอกออกจากทุนที่สะสมไว้นั้น
นั่นหมายความว่าหากไม่สั่งสมกุศลหรือประกอบกรรมดีไว้ก่อนบ้างเลย
โอกาสที่จะได้รับพรใดๆก็ย่อมเป็นไปโดยยาก
ความเชื่อในอนิสงส์แห่งกุศลจึงเอื้อประโยชน์ต่อปัจเจกชนและสังคมพม่าได้โดยอ้อม
ความเชื่อที่ว่ากุศลคือกองทุนเพื่อสร้างความสุขและความสำเร็จนั้น
นับว่ามีส่วนอย่างมากต่อการเข้าพึ่งศาสนาของชาวพม่า
ชาวพม่าส่วนใหญ่จึงสนใจในการปฏิบัติบูชา บริจาคทรัพย์บำรุงศาสนา
และเดินทางแสวงบุญ หากตั้งคำถามกับคนพม่าว่า
ถ้าหาเงินได้สักก้อนหนึ่งจะทำอย่างไรกับเงินนั้น
ชาวพุทธพม่ามักจะตอบเหมือนๆกันว่า
แรกสุดจะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งสำหรับทำบุญ นอกนั้นจะแบ่งให้พ่อแม่
จุนเจือคนที่ใกล้ชิด หรือซื้อของที่อยากได้
ความคิดในการออมเงินหรือนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มพูนเป็นรายได้จะเป็นความคิดที่มาทีหลังหรืออาจไม่ค่อยได้คิดกันนัก
หรือ ถ้าหากมีคนนำอาหารดีๆหรือผลไม้มาให้เป็นของฝาก
ชาวพุทธพม่าส่วนมากจะนำไปถวายพระพุทธรูปในบ้านก่อนที่จะนำมารับประทาน
หลายคนตั้งความหวังไว้ว่าเมื่ออายุมากขึ้น
ก็จะใช้ชีวิตอุทิศให้กับการปฏิบัติธรรม
พุทธศาสนาจึงฝังอยู่ในใจของชาวพม่า
และมักต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดเสมอ
ความสำเร็จในชีวิตโดยยึดมั่นในแนวทางพุทธศาสนาที่เน้นการสร้างสมกุศล
ย่อมต้องมีตัวอย่างให้พบเห็นและกล่าวถึงอยู่เสมอ
ดังเรื่องราวคหบดีผู้ตั้งมั่นปฏิบัติพุทธานุสติพร้อมไปกับการทำงานโดยชอบเป็นนิตย์
มักถูกนำมายกเป็นอุทาหรณ์ อาทิ อูหม่องหม่อง ผู้มีฉายาว่า
ลูเปี่ยงด่อปัตตะมยา
เป็นผู้มั่งมีที่ประสบความสำเร็จในอาชีพขายยาพื้นบ้าน
เขาเดินทางเร่ขายยาเลี้ยงชีพมาแต่วัยเยาว์
ยามเหน็ดเหนื่อยในขณะเร่ขายยา
อูหม่องหม่องมักหลบร้อนเข้านั่งพักที่ใต้ร่มไม้พร้อมกับสวดมนต์
จากการปฏิบัติเช่นนี้
เชื่อว่าได้เป็นปัจจัยให้อูหม่องหม่องกลายเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง
สามารถสร้างวัด สร้างเจดีย์
และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างคหบดีทั้งหลาย
ด้วยความเชื่อที่ว่ากุศลจากการทำบุญและปฏิบัติธรรมจะนำมาซึ่งทรัพย์
และทรัพย์จะพาเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่ในที่สุดนั้น
กุศลจึงกลายเป็นกลไกหนึ่งแห่งความสำเร็จในการสร้างฐานะไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุนี้
กุศลในโลกทัศน์ของชาวพุทธพม่าจึงมีความหมายมากไปกว่าความดีที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์อันเกิดจากการครอบงำของกิเลส
หรือ เครื่องที่ทำให้ใจเศร้าหมอง สำหรับชาวพุทธพม่าแล้ว
กุศลจึงไม่ใช่พลังลึกลับ ไม่ใช่อำนาจที่เลื่อนลอย และไม่ใช่สิ่งงมงาย
กุศลจะต้องอยู่เบื้องหลังของการนำพาชีวิตพร้อมๆไปกับโชคชะตาและกำลังความสามารถของตน
และด้วยเหตุที่มีความคาดหวังจากการทำกุศลกันไปต่างๆนานา
กุศลจึงถูกโยงให้สัมพันธ์กับการอธิษฐานพรโดยเฉพาะจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนา
ผลดีจากความเชื่อในกุศลดังนี้อาจก่อให้เกิดเป็นภาวะ “อิ่มบุญ”
ที่เป็นปีติเฉพาะหน้าและบังเกิดทุกคราที่ได้ทำบุญขอพร
แต่ผลร้ายที่สุดของความเชื่อตามกล่าวอาจก่อให้เกิดภาวะ “หิวบุญ”
อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น
ในยามมองภาพที่ชาวพม่าเข้านอบน้อมกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพรตามศาสนสถานต่างๆ
จึงอาจได้พบภาพของชีวิตที่โหยหาในสิ่งที่ปรารถนา
มีทั้งด้วยอาการอันปีติ และท่าทีที่อิดโรย
พม่านั้นปิดตัวเองมาเป็นเวลานาน
ดังนั้นการเปิดประเทศรับกระแสโลกภายนอกย่อมต้องมีผลต่อวิถีชีวิตและแนวคิดดั้งเดิมของชาวพม่าไม่น้อย
ความเชื่อมั่นศรัทธาต่อกุศลที่ผูกพันต่อชีวิต
กับกลไกแห่งความสำเร็จอย่างโลกสมัยใหม่
อาจก่อพลังขัดแย้งขับเคี่ยวอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของชาวพม่า
และหากพม่าไม่เร่งสร้างกระแสเพื่อปฏิรูปแนวคิดต่อพุทธศาสนาอย่างถูกทาง
พุทธศาสนาในพม่าที่เน้นการสร้างกุศลเพื่อขอพรอาจผิดเพี้ยนไปจากพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทจนแยกไม่ออกจากไสย์หรือฝ่ายลัทธิ
เหมือนกับสภาพที่ส่อเค้าให้พบเห็นอยู่ในขณะนี้
วิรัช
นิยมธรรม