พม่าประกาศให้สังคมโลกรับรู้ว่า ประเทศพม่าเป็น “แผ่นดินทอง” ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับความเป็น “แผ่นดินแห่งพุทธศาสนา” และ “แผ่นดินแห่งพุทธเจดีย์”
ความเชื่อเกี่ยวกับพระปริตรและการสะเดาะเคราะห์ของชาวพม่า
พม่าประกาศให้สังคมโลกรับรู้ว่า ประเทศพม่าเป็น “แผ่นดินทอง”
ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับความเป็น “แผ่นดินแห่งพุทธศาสนา” และ
“แผ่นดินแห่งพุทธเจดีย์” รวมอยู่ด้วย
โดยพม่าได้หมายเอาพระเจดีย์สีทองอร่ามอย่างพระเจดีย์ชเวดากองเป็นเอกลักษณ์ของแผ่นดินพม่า
พระเจดีย์จึงเป็นภาพลักษณ์ในเชิงวัตถุที่แสดงว่าพม่าเป็น ”เมืองพุทธ”
ในทำนองเดียวกันชาวพม่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธก็แสดงรูปแบบของพุทธศาสนิกชนไว้อย่างเด่นชัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความนิยมในการเดินทางแสวงบุญ การบวชเรียน
การสวดมนต์ การปฏิบัติวิปัสสนา และการจัดประเพณีทางศาสนา
แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระและเป้าประสงค์ของการปฏิบัติบูชาทั้งหลายของชาวพุทธพม่าแล้ว
มีหลายประเด็นที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์โดยชาวพม่าด้วยกันเองอยู่บ่อยว่าไม่เหมาะสมกับวิถีพุทธที่ถูกต้อง
ราวกับว่าชาวพุทธพม่าส่วนใหญ่กำลังเดินผิดแนวทางของพุทธศาสนา
ในบทนี้จึงขอนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจสองเรื่อง คือ การสวดพระปริตร
และการสะเดาะเคราะห์ของชาวพม่า
ในประเด็นแรกนั้นเป็นการใช้บทพุทธคุณเพื่อการป้องกันภยันตราย
ส่วนประเด็นหลังเป็นความเชื่อในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
ด้วยการสะเดาะเคราะห์กับองค์พระเจดีย์และพระพุทธรูป
ทั้งสองประเด็นจะช่วยให้มีความเข้าใจสังคมพุทธแบบพม่าได้ในอีกมิติหนึ่ง
ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นวิถีพุทธแบบชาวบ้าน
ความเชื่อเกี่ยวกับพระปริตร
ในยุคที่ประเทศพม่ายังปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ (ก่อน ค.ศ. ๑๘๘๖)
พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทนับว่ารุ่งเรืองอย่างสืบเนื่องด้วยการอุปถัมภ์ของราชสำนักพม่า
พระเจ้ามินดง (ค.ศ. ๑๘๕๒ –๑๘๗๘ )
กษัตริย์พม่าปลายสมัยคองบอง
นับเป็นกษัตริย์พม่าพระองค์หนึ่งที่ทรงสนพระทัยในกิจทางศาสนา
คราหนึ่งพระองค์ได้ทรงจัดให้มีพระราชพิธีสวดพระปริตรในนครมัณฑะเล
โดยได้นิมนต์พระสงฆ์ชื่อดังจากวัดต่างๆมาร่วมทำพิธีดังกล่าว
ในงานมีผู้ร่วมพิธีทั้งที่เป็นวงศานุวงศ์ตลอดจนข้าราชบริพารร่วมสดับฟังการสวดพระปริตรกันอย่างพร้อมพรั่ง
ตามความเชื่อของชาวพม่า
การได้ฟังบทสวดพระปริตรจะช่วยให้ได้อานิสงส์อย่างยิ่ง
พม่าถือว่าพระปริตรเป็นดุจคาถามนตราอันศักดิ์สิทธิ์
สามารถปัดเป่าเภทภัยและป้องกันภยันตรายต่างๆได้
การสวดพระปริตรที่พระราชวังมัณฑะเลในคราวนั้นก็คงด้วยพระเจ้ามินดงทรงประสงค์จะให้เป็นเครื่องคุ้มกันภัยให้กับพระนครของพระองค์
เมื่อพระสงฆ์สวดพระปริตรจบ
พระเจ้ามินดงได้ทรงถามพระสังคชาสงฆ์รูปหนึ่งว่า
“ในสมัยพระเจ้าสิริธัมมาโสกนั้น
มีบันทึกไว้ว่าในเวลาที่พระมหาโมคัลลิบุตติสสะสวดพระปริตรนั้น
น้ำพระปริตรเดือดขึ้นได้ แต่เหตุใดการสวดพระปริตรคราวนี้
น้ำพระปริตรจึงกลับนิ่งไม่สั่นไหวแม้แต่นิด
ฤาพระสงฆ์ซึ่งร่วมสวดพระปริตรครานี้ต่างไม่มั่นอยู่ในสมาธิ”
พระสังคชาได้ทูลถวายว่า “พระเจ้าสิริธัมมาโสกนั้น
เป็นพระราชาผู้ทรงอานุภาพสูงส่ง
จนสามารถเรียกหมู่นาคให้มาสยบได้ด้วยซ้ำ
และพระสงฆ์เหล่านี้ก็มิอาจเทียบได้กับพระมหาโมคัลลิบุตติสสะ
น้ำพระปริตรนี้จึงจะเดือดได้ฉันใด
แม้มหาบพิตรเองผู้ซึ่งเป็นถึงเจ้าแห่งแผ่นดินและผืนน้ำ
ไฉนเลยจะทรงเรียกนาค แม้งูปลาก็ไม่อาจทรงเรียกมาได้ ด้วยเหตุนี้
พระองค์อย่าได้ทรงกังวลเลยว่าน้ำพระปริตรจะเดือดหรือไม่”
พระสังคชาคงจะพยายามอธิบายให้พระเจ้ามินดงทรงเห็นว่า
การประเมินพระราชอำนาจของพระราชา
ใช่ว่าจะดูเพียงอานุภาพในการสยบนาคเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน
การประเมินศีล สมาธิ และปัญญาของสงฆ์
โดยดูจากน้ำพระปริตรว่าจะเดือดหรือไม่นั้น
ก็ไม่น่าจะสมด้วยเหตุและผล
เนื้อความที่เกริ่นมาข้างต้นนี้ เป็นประเด็นที่นักเขียนพม่าผู้หนึ่ง
ซึ่งใช้นามปากกาว่า วีงเตงอู นำเสนอไว้ในงานเขียนของเขา
เพื่อคัดค้านความเชื่อที่คลาดเคลื่อนไปจากแนวทางพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทของชาวพม่าในปัจจุบัน
วีงเตงอูได้แสดงทัศนะของเขาเป็นบทความย่อยๆ
ลงอย่างต่อเนื่องในวารสารธรรมรังสี ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๙๐ ถึง ๑๙๙๔
และเขาได้ยกประเด็นการเดือดของน้ำพระปริตรมาเป็นข้อพิจารณาเรื่องหนึ่ง
หลังจากที่วีงเตงอูเสนอบทความแสดงทัศนะที่ทวนกระแสสังคมโดยแย้งกับความเชื่อหลายอย่างของชาวพุทธพม่าทั่วไปนั้น
เขากล่าวว่าได้รับทั้งคำสนับสนุน
และคำคัดค้านพร้อมกับคำประณามจากพระสงฆ์และฆราวาสพอๆกัน
ที่จริงวิธีการเขียนของวีงเตงอูเป็นการแสดงทัศนะที่นุ่มนวล
เขาแสดงทัศนะอย่างค่อนข้างระวัง แบบชวนให้คิด
มากกว่าที่จะวิพากษ์สังคมพุทธพม่าอย่างตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม
บทความของวีงเตงอูกลับช่วยสะท้อนโลกทัศน์ทางความเชื่อของชาวพุทธพม่าปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
ในกรณีของความเชื่อของคนพม่าต่อบทสวดพระปริตร(xib9Ng9kN)ซึ่งมี ๑๑
บทนั้น วีงเตงอูมิได้ลดค่าของบทสวดดังกล่าว
และมิได้ขัดขวางการสวดพระปริตรแต่อย่างใด
เขาเพียงแต่อยากให้ชาวพม่าที่หลงคิดว่าพระปริตรเป็นดุจคาถามนตรา
ที่จะช่วยให้เกิดศิริมงคล ดูดทรัพย์ ให้ลาภ และค้าขายคล่องเหล่านั้น
หันมาให้ความสำคัญต่อความเข้าใจในเนื้อหาของพระปริตร แต่ในทางกลับกัน
ชาวพุทธพม่าส่วนใหญ่มักเพียงพยายามท่องพระปริตรให้ชัดถ้อยชัดคำเท่านั้น
โดยหาได้สนใจเนื้อความที่ว่าไว้ในบทสวดนั้น
อีกทั้งมักเข้าใจว่าพระปริตรคือเครื่องรางที่จะช่วยคุ้มกันภัยอันเกิดจากสิ่งร้ายนานา
อาทิ โรคภัยไข้เจ็บ มารร้าย ภูติผี ฝันร้าย ศัตรู สัตว์มีพิษ
อัคคีภัย ทุกข์เข็ญ การคลอดบุตร การสู้รบ และอุปสรรคต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้วีงเตงอูยังได้หยิบยกข้อมูลมายืนยันอย่างหนักแน่นว่าการสวดเพื่อวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างที่ชาวพม่านิยมปฏิบัติกันอยู่นั้น
แท้จริงคือการยอมรับความเชื่ออย่างลัทธิพราหมณ์
หรืออาจชะรอยไปคล้อยกับลัทธิตันตระของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
หาใช่พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่
พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทสอนให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ
และปัญญา
อีกทั้งปฏิเสธความเชื่อในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าที่จะช่วยเหลือหรือบันดาลสิ่งต่างๆให้กับมนุษย์
วีงเตงอูเห็นว่าชาวพุทธพม่าส่วนมากดำเนินชีวิตผิดไปจากแนวทางของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทที่พม่ารับไว้เป็นที่พึ่งหลักนับแต่สมัยพระเจ้าอโนรธาเป็นต้นมา
การที่พุทธศาสนาซึ่งเป็นสถาบันหลักอันหนึ่งของชาติผิดเพี้ยนไปจึงเป็นสิ่งที่เขาเรียกร้องให้ชาวพุทธช่วยกันตรวจสอบตนเองอย่างแยกแยะเพื่อให้พ้นจากลัทธิพิธีนอกพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม
ทัศนะของวีงเตงอูนับว่าฝืนต่อความรู้สึกของชาวพุทธพม่าโดยทั่วไป
ที่ต่างคุ้นเคยกับการนำพระปริตรมาเป็นเครื่องคุ้มครองและป้องกันภัย
และคงยากมากที่คนพม่าส่วนใหญ่จะคล้อยตามความคิดของเขา
แม้เรื่องของพระเจ้ามินดงที่วีงเตงอูยกมายืนยันถึงความไม่เข้าใจในอานุภาพของพระปริตรนั้น
กลับชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ว่าน้ำพระปริตรอาจเดือดได้
ถ้าบังเกิดผู้มีบารมีเสมอด้วยพระเจ้าสิริธัมมาโสกและพระมหาโมคัลลิบุตติสสะ
ยิ่งด้วยเคยมีปรากฏการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน
ความเชื่อในอานุภาพของพระปริตรยิ่งเข้มข้นขึ้น
ดังมีเหตุการณ์เล่าลือกันว่าสงฆ์พม่ารูปหนึ่ง
เป็นพระธรรมจาริกแห่งภูเขาฉิ่น คือ พระอุตตมะสาระ
กล่าวกันว่าท่านเจริญด้วยเมตตาบารมี
และได้เคยแสดงฤทธิ์ด้วยการเสกน้ำพระปริตรให้เดือดเป็นที่ประจักษ์จนเลื่องชื่อ
ถึงแม้พระสงฆ์รูปนี้จะมรณภาพไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้
แต่สถานีวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐบาลปัจจุบันยังคงนำเสียงบทสวดพระปริตรทั้ง
๑๑ บทของท่านเวียนออกอากาศในเวลาเปิดรายการทุกเช้าเป็นประจำ
สิ่งนี้ยืนยันได้ชัดถึงความเชื่อมั่นของชาวพุทธพม่าต่ออำนาจวิเศษแห่งพระปริตร
หากกล่าวถึงประสบการณ์ของชาวพม่าที่ได้จากการสวดและการฟังพระปริตรนั้น
ชาวพม่าหลายคนยืนยันว่าได้รับอานิสงส์จริง
ถึงคราวที่เจ็บป่วยไม่สบาย การเดินทางมีอุปสรรค ฝันร้าย ก่อนคลอดบุตร
ก่อนสอบ สมัครงาน ขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ
ชาวพม่าจะเลือกบทสวดพระปริตรที่เหมาะสมจาก ๑๑ บทนั้น
โดยจะสวดอย่างสม่ำเสมอจนพ้นช่วงวิกฤติของตน บางคนสวดพระปริตรทั้ง ๑๑
บททุกคืน บางคนจะทยอยสวดเป็นบางบทในแต่ละวันโดยจะสวดให้ครบทั้ง ๑๑
บทในแต่ละสัปดาห์
การสวดพระปริตรจึงกลายเป็นวิถีชีวิตของชาวพุทธพม่าให้ได้นึกถึงอำนาจพุทธคุณที่จะช่วยคุ้มครองตนอยู่เสมอ
อีกทั้งปรากฏการณ์น้ำพระปริตรเดือดให้เห็นจริงในปัจจุบัน
ยิ่งช่วยหนุนให้คนพม่าส่วนมากต่างเชื่อในฤทธิ์อำนาจแห่งพุทธคุณ
โดยไม่ใส่ใจต่อความเห็นที่แย้งว่าการท่องบ่นพระปริตรมิอาจช่วยเพิ่มบุญกุศล
ปัญญา หรือทรัพย์แก่ตนได้เลย
การที่ชาวพุทธพม่านิยมการปฏิบัติธรรมด้วยการนั่งสวดพระปริตรหรือบทพุทธคุณอื่นๆพร้อมกับการนับลูกประคำโดยมิได้ใส่ใจเนื้อหาในบทสวดนั้น
อาจเป็นไปได้ว่าชาวพม่าทั่วไปชอบที่จะให้ความสำคัญต่อพิธีกรรมมากกว่าหลักธรรม
เหตุหนึ่งอาจเนื่องมาจากความเข้าใจที่ว่า
แม้จะยึดปฏิบัติตามหลักคำสอนในพุทธศาสนา ดังเช่น
การดำเนินชีวิตด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญานั้นแล้วก็ตาม
แต่ใช่จะมั่นใจได้ว่าชีวิตจะพบกับความสำเร็จได้เสมอไป
เพราะชาวพม่าเชื่อว่ายังมีสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกว่านี้อีก
สิ่งนั้นคือ อดีตกรรม
จึงเป็นเหตุให้ไม่อาจมั่นใจในการดำเนินชีวิตด้วยการประพฤติตามพุทธธรรมเพียงหนทางเดียว
เหตุนี้จึงต้องทำให้หลักธรรมมีความศักดิ์สิทธิ์จนสามารถนำมาใช้แก้กรรมได้
ก็ด้วยการเสริมอานุภาพหรือฤทธิ์ให้กับหลักธรรมนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า
สำหรับชาวพุทธพม่าทั่วไปแล้ว
หลักธรรมจึงไม่อาจเป็นเพียงแนวทางแห่งการหลุดพ้นเท่านั้น
แต่ยังจะต้องเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของชีวิตปัจจุบันได้ด้วย
ส่วนเหตุที่พม่าเชื่อว่าพิธีการสวดพระปริตรเป็นเครื่องแก้กรรมและป้องกันอันตรายนั้น
อาจเป็นเพราะชาวพุทธพม่าเชื่อในเรื่องอดีตกรรมที่ตายตัว
และโชคชะตาที่อาจปรับเปลี่ยนได้ด้วยฤทธิ์วิเศษ
แล้วนำมาผูกเป็นความเชื่อในอิทธิฤทธิ์ที่เนื่องด้วยอำนาจพุทธคุณ
ความเชื่อเกี่ยวกับอานุภาพของการสวดหรือฟังพระปริตรจึงสะท้อนโลกทัศน์ของชาวพม่าที่ให้ความสำคัญต่อพิธีกรรมหรือการบูชามากเสียจนลืมหลักแห่งการหยั่งรู้อริยสัจ
โดยหันไปนิยมพึ่งพาอำนาจที่เหนือกว่า
เพียงเพื่อให้ช่วยพลิกผันโอกาสหรือประคองชีวิตให้อยู่รอดเท่านั้น
ปัจจุบัน
ความเชื่อถือในอานุภาพของบทสวดพระปริตรและอานิสงส์จากการฟังบทสวดดังกล่าวยังคงมีอยู่ในสังคมพม่าอย่างมั่นคง
เป็นตัวอย่างหนึ่งของความนิยมในการนำอำนาจพุทธคุณมาใช้ในวิถีชีวิตแบบชาวพุทธพม่า
การยกข้อธรรมมาเป็นเครื่องคุ้มกันภัยดุจคาถามนตรานั้น
นับเป็นปรากฏการณ์สามัญที่พบเห็นได้อย่างปกติในสังคมพม่า
และอาจกล่าวได้ว่าชาวพุทธพม่ารับเอาพิธีกรรมของลัทธิศาสนาอื่นมาเป็นพุทธพิธีโดยมิได้แยกแยะอย่างที่วีงเตงอูพยายามชี้ให้เห็น
หลักธรรมจึงถูกกำหนดเป็นบทสวดสำหรับวิงวอนขอความคุ้มครอง
มากกว่าที่จะยึดเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ส่วนการกระจายเสียงบทสวดพระปริตรทั้ง ๑๑ บทของพระอุตตมะสาระ
ที่นำออกอากาศในช่วงเวลาเปิดรายการสถานีวิทยุและโทรทัศน์ของรัฐบาลทุกเช้านั้น
บ่งชัดถึงการยอมรับในอานุภาพแห่งพระปริตรโดยผ่านพิธีกรรมในระดับรัฐ
ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อและศรัทธาของประชาชนส่วนใหญ่
ที่ยังอาศัยความอบอุ่นจากศาสนาเป็นที่พึ่งสำคัญ
หากเทียบสมัยโดยย้อนนึกถึงคราวที่พระเจ้ามินดงจัดพระราชพิธีสวดพระปริตรที่นครมัณฑะเลเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
เห็นจะต่างเพียงว่าน้ำพระปริตรในสมัยพระเจ้ามินดงนั้นไม่เดือด
แต่กลับเดือดได้ในปัจจุบัน
ปรากฏการณ์นี้จึงช่วยเพิ่มศรัทธาต่อพระปริตรได้สนิทใจ
และยังอาจมีส่วนช่วยเพิ่มความชอบธรรมต่ออำนาจรัฐได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม
หากหวนนึกถึงคำกล่าวของพระสังคชาที่ทูลถวายต่อพระเจ้ามินดงเกี่ยวกับความไม่สมด้วยเหตุและผลต่อการเดือดของน้ำพระปริตร
ตามที่โยงให้ไปสัมพันธ์กับสมาธิและอานุภาพนั้น
ก็คงจะให้แง่คิดเป็นแนวทางในการตรวจสอบความเชื่อของชาวพุทธพม่าด้วยกันเอง
และน่าจะสมกับเจตนาของวีงเตงอู
ที่ประสงค์ให้ชาวพม่าหันมาดำเนินชีวิตอยู่ในแนวทางที่ต้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม
ความเชื่อต่อบทสวดพุทธคุณอย่างพระปริตรนั้นจัดได้ว่าฝังลึกอยู่ในจิตใจของชาวพุทธพม่าส่วนใหญ่
และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตมาเนิ่นนาน
ดังนั้นจึงอาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโต้แย้งการพึ่งพาบทสวดในแนวทางดังกล่าว
เพียงโดยอ้างหลักของเหตุและผลเพื่อต้องการยืนยันหลักการของศาสนาอย่างผู้รู้
อีกทั้งสังคมพม่าไม่มีอิสระพอที่จะหันมาพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมทั้งหลายที่เอื้อให้สังคมพม่ายังจำเป็นต้องพึ่งพาศาสนาตามความเข้าใจอย่างชาวบ้าน
ปัจจัยที่อาจต้องพิจารณาเป็นพิเศษได้แก่ ปัญหาทางการศึกษา เศรษฐกิจ
และการเมือง จึงเป็นไปได้ว่า
เหตุที่ชาวพม่าต้องหันไปคาดหวังกับศาสนากันมากโดยไม่รู้สึกขัดแย้งแต่อย่างไรนั้น
ก็คงด้วยเพราะไม่อาจคาดหวังจากระบบดังกล่าวได้ดีพอนั่นเอง
การสะเดาะเคราะห์ด้วยฉัตร
การสะเดาะเคราะห์
หรือ ยะดะยา-เฉ่ (pE9kg-y) เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาของชาวพม่า
ความนิยมนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับการดูดวงชะตา
ซึ่งชาวพม่าส่วนมากยังมักต้องพึ่งพาอยู่เป็นนิตย์
ดังพบว่าในสิ่งตีพิมพ์ของพม่าประเภทนิตยสารรายสัปดาห์หรือรายเดือน
จะต้องมีคอลัมน์ทำนายดวงชะตา
พร้อมกับคำแนะนำสำหรับการสะเดาะเคราะห์ของผู้เกิดในแต่ละวันของสัปดาห์
วิธีการสะเดาะเคราะห์มีหลากหลายรูปแบบ อาทิ ปล่อยนกปล่อยปลา
เลี้ยงอาหารสัตว์ มอบสิ่งของให้ผู้อื่น กินผลไม้บางชนิด
ทิ้งขยะให้พ้นจากบ้าน และถวายฉัตรต่อพระเจดีย์ เป็นต้น
ในบรรดาคำแนะนำเพื่อการสะเดาะเคราะห์นั้น การถวายฉัตรต่อองค์พระเจดีย์
ดูจะเป็นข้อปฏิบัติที่กระทำกันอยู่เสมอ
โดยเฉพาะหากพบกับปัญหาหรืออุปสรรคใดๆก็ตาม
ชาวพม่ามักถือว่าการสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีดังกล่าวนี้เป็นบุญกริยาที่ประเสริฐสุด
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงความเป็นมาของฉัตร
และการประยุกต์ฉัตรเพื่อการสะเดาะเคราะห์ของชาวพุทธพม่าพอสังเขป
ในภาษาพม่า คำเรียก ร่ม และ ฉัตร
ใช้รากคำเดียวกันว่า ที (5ut)
คำนี้จึงหมายถึงร่มกันแดดกันฝนธรรมดาก็ได้
หรือหมายถึงเครื่องสูงที่ใช้บอกฐานะหรือบรรดาศักดิ์
และยังหมายถึงเครื่องประดับที่อยู่บนส่วนยอดของพระเจดีย์ได้ด้วย
ในอดีตพม่ามีกษัตริย์ปกครองบ้านเมือง
และสิ่งที่เป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็คือ เศวตฉัตร
หรือ ฉัตรขาว ซึ่งพม่าจะเรียกว่า ที-ผยู่ (5utez&) แปลว่า
“ร่มขาว” สำหรับขุนนางก็จะมีฉัตรแสดงบรรดาศักดิ์ อาทิ
ขุนนางชั้นสูงจะมีฉัตรแดงเป็นเกียรติยศ เป็นต้น
พม่าถือว่าเศวตฉัตรเป็นสิ่งคู่กับองค์พระมหากษัตริย์
ราชบังลังก์ที่ไร้ฉัตรจึงหมายถึงการหมดสิ้นแห่งอำนาจและบารมี
ดังตอนที่ราชวงศ์ของพม่าล่มสลายด้วยการยึดครองของอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.
๑๘๘๕ นั้น พม่าถึงกับเปรียบการสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์ครั้งนั้นว่า
ฉัตรหัก หรือ ทีโจ (5utdy7bt) อย่างไรก็ตาม
แม้พม่าจะไม่มีสถาบันกษัตริย์อีกแล้ว
แต่พม่ายังคงมีการใช้ฉัตรขาวเป็นเครื่องบอกบรรดาศักดิ์สำหรับพระสงฆ์
สำหรับฉัตรที่ประดับยอดพระเจดีย์แบบพม่านั้น เรียกว่า พระฉัตร
หรือ ทีด่อ (5utg9kN) เจดีย์แบบพม่าจะต้องมีฉัตร
และในการสร้างเจดีย์จะมีการทำพิธีอัญเชิญพระฉัตร
ซึ่งถือเป็นพิธีสำคัญและจะต้องกระทำเป็นลำดับสุดท้าย
ดังเมื่อเดือนเมษายนของปีนี้ (พ.ศ.๒๕๔๒)
รัฐบาลพม่าได้จัดงานขึ้นฉัตรใหม่สำหรับพระเจดีย์ชเวดากอง
ซึ่งเป็นงานยกฉัตรที่ยิ่งใหญ่
ด้วยว่างเว้นมานานนับแต่สมัยพระเจ้ามินดง
รัฐบาลพม่าจัดงานนี้อย่างเอิกเกริก
โดยใช้เวลาเตรียมงานหลายเดือน
และใช้เวลาเพื่ออัญเชิญพระฉัตรถึง ๓ วัน
และยังจัดงานฉลองพระฉัตรอีกนับ ๑๐ วัน
นับเป็นงานหลวงที่สามารถเรียกศรัทธาจากชาวพุทธพม่าทั่วประเทศได้มาก
ในพิธีมีผู้คนมาร่วมบริจาคแก้วแหวนเงินทองสำหรับประดับพระฉัตรกันมากมาย
จนของบริจาคมากล้นเหลือ
และต้องนำไปจัดเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เสียส่วนหนึ่ง
พม่าถือว่าฉัตรที่ยอดพระเจดีย์เป็นดุจร่มที่กางกั้นเจดีย์ให้บังเกิดความร่มเย็น
ชาวพม่ายังเชื่ออีกว่าการบูชาด้วยฉัตรเป็นการทำบุญที่ได้กุศลมากกว่าการทำบุญอื่นใด
จึงเชื่อว่าหากมีวาสนาได้ถวายพระฉัตรแด่องค์พระเจดีย์
ชีวิตก็จะมีแต่ความร่มเย็น และประสบแต่ความสำเร็จ
ทุกวันนี้ชาวพม่ายังนิยมถวายฉัตรแด่องค์เจดีย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งมิใช่เป็นฉัตรเงินหรือฉัตรทองแท้ ๆ
ฉัตรแบบนี้จะทำด้วยกระดาษสีเงิน สีทอง สีขาว สีเหลือง หรือสีเขียว
ซึ่งมีจำหน่ายที่ร้านค้าแถวองค์เจดีย์ สีของฉัตรต่างมีความหมาย
หากเป็นสีทองหรือสีเงินจะแสดงถึงความมั่งมี
แต่ถ้าเป็นสีขาวจะแสดงถึงความสงบสุข เป็นต้น
ชาวพุทธพม่านิยมบูชาพระเจดีย์ด้วยฉัตรประเภทนี้
เพื่อแก้เคล็ดหรือสะเดาะเคราะห์ ดังกรณีที่ประสบเคราะห์ร้าย
ชาวพุทธพม่ามักจะต้องถวายฉัตรกระดาษแด่พระเจดีย์
และในการตั้งเครื่องหมู่บูชาพระเจดีย์ ซึ่งพม่าเรียกว่า กะเดาะ-บแว
(doNg9kHx:c) มักจะต้องปักฉัตรไว้ที่สำรับบูชานั้นด้วย
เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้พรที่ขอเกิดผลสัมฤทธิ์
(ตามคติของพม่านั้น
เครื่องบูชาที่มีฉัตรประดับจะถือว่าเป็นเครื่องบูชาในฝ่ายศาสนา
ต่างจากการบูชาเทพนัต ซึ่งชาวพม่าไม่นิยมใช้ฉัตรมาประกอบเครื่องบูชา)
การถวายฉัตรที่ทำด้วยกระดาษนี้
จึงต่างไปจากการถวายพระฉัตรสำหรับยอดพระเจดีย์
ที่ทำเพื่อสืบพระศาสนาหรือเพื่อเป็นพุทธบูชา
แต่การถวายฉัตรกระดาษสี จะเป็นเพื่อการขอความคุ้มครอง
และเพื่อความสงบสุขในชีวิตสำหรับผู้ถวาย
ฉัตรจึงถูกใช้ในหลายหน้าที่ เป็นทั้งเครื่องแสดงฐานะของกษัตริย์
เครื่องบอกยศศักดิ์ของขุนนางชั้นสูง
เครื่องแสดงเกียรติยศสำหรับพระสงฆ์ และเป็นเครื่องประดับยอดพระเจดีย์
ตลอดจนนิยมใช้ฉัตรประกอบเครื่องบูชาสำหรับพิธีสะเดาะเคราะห์และขอพร
การที่พม่าพัฒนาการถวายฉัตรแด่องค์พระเจดีย์จนถึงขั้นนี้นั้น
อาจเป็นเพราะฉัตรเป็นเครื่องหมายแห่งอำนาจและบุญบารมี
อันจะนำมาซึ่งความมั่งมีและความร่มเย็นในชีวิต
ซึ่งเป็นโลกียสุขที่ปุถุชนต่างปรารถนา
ความเชื่อเกี่ยวกับการสะเดาะเคราะห์ด้วยฉัตร
และป้องกันภัยด้วยการสวดพระปริตร
นับเป็นตัวอย่างของความเชื่อในอำนาจบุญกุศลและพุทธคุณของชาวพุทธพม่า
อันจะช่วยให้เข้าใจวิถีพุทธแบบชาวบ้านในอีกมิติหนึ่ง
และแม้ว่าวิถีพุทธแบบพม่าในประเด็นดังกล่าวนั้นอาจดูไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทนักก็ตาม
แต่พุทธศาสนาในวิถีแบบชาวบ้านนั้นกลับมีบทบาทต่อสังคมพม่าอย่างมาก
จนแม้แต่ฝ่ายรัฐเองก็ให้ความสำคัญต่อพุทธศาสนาในรูปแบบดังกล่าวไม่ยิ่งหย่อนไปจากฝ่ายประชาชนพม่านัก
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะชาวพม่าต่างมีความเข้าใจต่อพุทธศาสนาในฐานะของพิธีกรรมอย่างหนึ่งในการค้ำจุนชีวิต
ส่วนภาครัฐเองก็ประยุกต์พุทธพิธีให้เป็นรัฐพิธีที่สอดคล้องกับความเชื่อและความต้องการของประชาชน
ดังนั้น การท่องบ่นพุทธคุณเพื่อป้องกันภัยนานาชนิด
และการถวายฉัตรเพื่อปัดรังควาญต่างๆ
จึงเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่สะท้อนความเชื่อแบบหนึ่งของพม่า
วิรัช
นิยมธรรม