หากมองลึกลงไปในตำราเรียนและสื่อทางการของพม่า ก็พอจะสังเกตได้ว่าพม่ามักจะเอ่ยถึงอดีตเพื่อย้อนรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ในยุคราชวงศ์
หล่มประวัติศาสตร์ :
มายาคติใต้กงล้อประวัติศาสตร์พม่า
หากมองลึกลงไปในตำราเรียนและสื่อทางการของพม่า
ก็พอจะสังเกตได้ว่าพม่ามักจะเอ่ยถึงอดีตเพื่อย้อนรำลึกถึงประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ในยุคราชวงศ์
ตลอดจนประสบการณ์อันเลวร้ายในยุคอาณา-นิคม และผลพวงที่ตามมาอยู่เสมอ
โดยเฉพาะเมื่อต้องการจะอธิบายภาวะและวิกฤตของประเทศในปัจจุบัน
ประเด็นทางประวัติศาสตร์ที่ยกมาอ้างอยู่บ่อยๆ เห็นจะได้แก่
แบบอย่างของการสร้างชาติเอกภาพ ภัยคุกคามจากต่างชาติ
และความแตกแยกของชนในชาติ
ดังจะพบได้เสมอในคำกล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำประเทศในวาระต่างๆ
ตลอดจนแถลงการณ์ของพลังมวลชนที่ถูกเกณฑ์มาสนับสนุนนโยบายหรือผลงานของรัฐบาล
เพลงปลุกใจที่ขับกล่อมทางวิทยุ-โทรทัศน์
และบทความที่เสนอผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ของรัฐ
บทเรียนจากประวัติศาสตร์ที่นำมาอ้างอยู่เสมอนั้น
บ่งบอกว่ารัฐบาลพม่ายังปรารถนาให้ประชาชนมีความผูกพันกับมายาภาพความรุ่งเรืองในบางสมัยแห่งยุคราชวงศ์
(ค.ศ.๑๐๔๔-๑๘๘๕) ให้จดจำบทเรียนอันปวดร้าวในยุคอาณานิคม
(ค.ศ.๑๘๘๖–๑๙๔๘)
และให้ตระหนักในภัยการเมืองแบบพหุพรรคและสงครามกลางเมืองเมื่อต้นสมัยเอกราช(ค.ศ.๑๙๔๘–๑๙๖๒)
ชาวพม่าส่วนใหญ่จึงเติบโตมาพร้อมกับการรับรู้บทเรียนดีร้ายจากอดีตดังกล่าว
ในประเด็นแบบอย่างการสร้างชาติเอกภาพนั้น
พม่าจะย้อนไปถึงสมัยราชอาณาจักรอันรุ่งเรือง
โดยให้ภาพว่าในยุคสมัยนั้นชนชาติพม่าสามารถสร้างอาณาจักรที่เข้มแข็งขึ้นได้จากการมีผู้นำที่เก่งกล้า
และชนในชาติมีความสามัคคีกลมเกลียว
พม่าจึงมีอาณาเขตกว้างใหญ่และเป็นปึกแผ่น
อีกทั้งยังเกรียงไกรด้วยแสนยานุภาพ ยุคสมัยอันรุ่งเรืองมี ๓ ยุค
ได้แก่ สมัยของพระเจ้าอโนรธาและพระเจ้าจันสิตตาแห่งพุกาม
(ค.ศ.๑๐๔๔–๑๑๑๓)
สมัยของพระเจ้าตะเบ็ง-ชเวตี้และพระเจ้าบุเรงนองแห่งตองอู-หงสาวดี
(ค.ศ. ๑๕๓๑–๑๕๘๑) และสมัยพระเจ้าอลองพญาแห่งราชวงศ์คองบอง
(ค.ศ.๑๗๕๒–๑๗๖๐) วาทกรรมสำคัญที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของยุคนั้น ได้แก่
พุกามอันไพบูลย์ (x68"gdk'Nt0kt) ยอดวีรบุรุษ
(l^icgdk'Nt) และ สายเลือดพม่า (r,kgl:t) เป็นต้น นอกจากนี้
ยังมีการแต่งแต้มความทรงจำแห่งอดีตให้ปรากฏนัยทางการเมืองอยู่เสมอ
ด้วยการรื้อฟื้นประเพณีโบราณและการปฏิสังขรณ์โบราณสถาน อาทิ
การเฉลิมฉลองช้างเผือก การแสดงเรือพระราชพิธี การแสดงอัศวยุทธ
การแสดงนาฏศิลป์โบราณ การบูรณะเจดีย์เก่า การสร้างเจดีย์ใหม่
การขุดค้นวังโบราณของพระเจ้าบุเรงนองที่พะโคและพระเจ้าอโนรธาที่พุกาม
ตลอดการสลักพระพุทธรูปหินอ่อนขนาดใหญ่เพื่อสะท้อนสันติสุขรุ่งโรจน์เยี่ยงโบราณสมัย
ส่วนการปลูกฝังความรู้ทางประวัติศาสตร์และวรรณคดีผ่านระบบการศึกษาของพม่านั้น
จะเน้นเรื่องการทำศึกสงครามและวีรกรรมของกษัตริย์ในยุคราชวงศ์
และแม้พม่าจะผ่านยุคสมัยสังคมนิยมมาก็ตาม
แต่ภาพอดีตจากยุคราชวงศ์ที่เน้นภาพขุนศึกศักดินากลับไม่จางหาย
เหตุเพราะยุคราชวงศ์นั้นถือเป็นตัวตนของพม่าในอดีต
และเป็นพัฒนาการช่วงหนึ่งของสังคมพม่าที่เชื่อว่าปรากฏแบบอย่างที่ดีของการสร้างชาติเอกภาพ
ในเรื่องเกี่ยวกับภัยต่างชาตินั้น
พม่าจะย้อนกลับไปสู่ยุคล่าอาณานิคมในกลางสมัยคองบองจนถึงสิ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่
๒ โดยมักเอ่ยถึงเล่ห์อุบายทางการเมืองของต่างชาติ
สภาพเลวร้ายของการตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษและญี่ปุ่น
และการต่อสู้เพื่อเอกราชด้วยพลังประชาชน วาทกรรมสำคัญที่สะท้อนยุคนี้
เช่น ฉัตรหักกลองแตก (5utdy7bt 0PNgxjdN)
จิตใจรักชาติ (,y7bt-y0N0b9NTk9N)
และไม่ขอตกเป็นทาสผู้อื่น (l^hd°oN,-") เป็นต้น ในปัจจุบัน
พม่ามักเตือนภัยจากต่างชาติด้วยการต่อต้านวัฒนธรรมและการเมืองแบบตะวันตก
ผ่านทางภาพยนต์ นวนิยาย การ์ตูน และเพลง
ผลงานของนักเขียนรุ่นเก่าๆตั้งแต่สมัยอาณานิคมเรื่อยมาที่เขียนต่อต้านเจ้าอาณานิคมจะได้รับการยกย่องและตีพิมพ์ซ้ำ
อีกทั้งมีการถ่ายทอดสู่ตำราเรียน
และจัดประกวดความเรียงกับปาฐกถาในวันสำคัญของชาติ ได้แก่ วันเอกราช
วันกองทัพ วันวีรบุรุษ วันประชาชน วันกรรมกร วันชาวไร่ชาวนา
และวันสหภาพ ในปัจจุบัน
ภัยจากต่างชาติยังถือเป็นภัยต่อความมั่นคงที่สำคัญของพม่า
และพม่ามักใช้เป็นปัจจัยกำหนดนโยบายความสัมพันธ์กับนานาประเทศตลอดมา
มายาภาพต่อภัยต่างชาตินั้นจึงกลายเป็นวาทกรรมที่รัฐใช้กระตุ้นเตือนประชาชนและปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อหวังความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของคนในชาติ
ในเรื่องความแตกแยกของชนในชาตินั้น
พม่าถือเป็นภัยที่กระทบต่อการพัฒนาประเทศตลอดมา
ภัยที่ว่านั้นคือการก่อการร้ายและการต่อสู้ทางการเมือง
พร้อมกับเสนอบทบาทของกองทัพว่ามีพลังรักชาติที่ประเสริฐกว่าพรรคการเมืองอย่างโลกเสรีประชาธิปไตยและสามารถจัดการกับปัญหาชนกลุ่มน้อยได้
วาทกรรมสำคัญที่สะท้อนยุคนี้ เช่น กองทัพประชาชน
(exPNl^h9xN,g9kN) กบฏหลากสี (gik'N06"l^x6oN)
และจิตใจสหภาพ (exPNg5k'N060b9NTk9N) เป็นต้น
จากประสบการณ์ความแตกแยกทางการเมืองในสมัยแรกของการได้รับเอกราชนั้น
กองทัพพม่าจึงไม่ปรารถนาให้การเมืองในพม่ามีทางเลือกหลากหลาย
และต่อต้านการแบ่งแยกดินแดนอย่างเด็ดขาด ที่ผ่านมา
ศัตรูของพม่าจึงได้แก่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิเสรีประชาธิปไตย
และอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน อย่างไรก็ตาม
พม่ากลับยอมให้มีการกำหนดชื่อรัฐเป็นชื่อชนชาติ ได้แก่ รัฐกะฉิ่น
รัฐฉาน รัฐคะยา รัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ รัฐยะไข่ และรัฐฉิ่น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเงื่อนไขอันสืบเนื่องจากการที่พม่าได้รับเอกราช
การเตือนภัยเรื่องกบฏหลากสีและความแตกแยกทางลัทธิการเมือง
จึงเสมือนปราการป้องกันมิให้เกิดความแตกแยกซ้ำรอยอดีต
ดังนั้นพม่าจึงหันมาเน้นนโยบายความปรองดองของชนในชาติ
ก่อตั้งกลุ่มพลังมวลชนรักชาติ และสร้างความเข้มแข็งให้กับกองทัพ
ความทรงจำดังกล่าวสะท้อนได้ว่าพม่าเห็นความสำคัญของการรักษาเอกภาพ
การเตือนภัยภายนอก และการปรามภัยภายใน นอกจากนี้
ยังวาดหวังอนาคตด้วยวาทกรรม เมียนมาแผ่นดินทอง
(gUe,oN,k)เป็นเป้าหมายอีกด้วย อย่างไรก็ตาม
แม้พม่าจะถูกมองว่าอาศัยประวัติศาสตร์สร้างมายาภาพให้ชาวพม่าระแวงโลกภายนอกและยอมรับรัฐเผด็จการก็ตาม
แต่ในอีกด้านหนึ่ง
ประวัติศาสตร์ก็อาจเป็นดุจกงล้อที่นำสังคมพม่าให้ก้าวจากหล่มลึกไปอย่างช้าๆและมั่นคง
วิรัช
นิยมธรรม