ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้สอนวิชาภาษาอังกฤษชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นเวลากว่า 20 ปี ปัญหาที่พบจากการสอนในทุกปีจะเป็นปัญหาที่เหมือนๆกันคือนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ที่โรงเรียนตั้งไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทักษะการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ ข้าพเจ้าได้ทำการวิจัย พบว่าสาเหตุที่นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในสองทักษะนี้ต่ำกว่าเกณฑ์ มีสาเหตุจากปัจจัยหลายปัจจัย ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้คือ นักเรียนไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษเพราะว่ายาก นักเรียนมีความรู้ด้านคำศัพท์น้อย และสาเหตุที่สำคัญและส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ คือ นักเรียนไม่ชอบอ่านหนังสือหรือไม่มีนิสัยรักการอ่านนั่นเอง ซึ่งข้าพเจ้าได้สอบถามจากเพื่อนครูที่สอนวิชาอื่นๆว่าเกิดปัญหาเช่นเดียวกันหรือไม่ พบว่ามีปัญหาเช่นเดียวกันนอกจากนั้นข้าพเจ้าได้พบว่าการไม่มีนิสัยรักการอ่านยังเป็นปัญหาระดับประเทศด้วย เนื่องจากมีผลสำรวจการอ่านหนังสือของประชากรไทย เมื่อ พ.ศ.2549 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประชากรไทยที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป จำนวน 57.8 ล้านคน อ่านหนังสือ 35.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 61.20 ผู้ไม่อ่านหนังสือ 22.4 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 38.80 ประชากรในกรุงเทพมหานครอ่านหนังสือสูงสุดคือร้อยละ81.50 รองลงมาคือภาคกลางร้อยละ63.50 ภาคเหนือร้อยละ59.20 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการอ่านต่ำสุด คือร้อยละ 52.60 ข้าพเจ้าจึงหาวิธีการแก้ปัญหานี้ เนื่องจากการอ่านเป็นวิธีการเข้าถึงความรู้ที่ทำได้ง่ายที่สุดสามารถอ่านได้ด้วยตนเองทุกเวลาแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนักเรียนต้องมีนิสัยรักการอ่านก่อนดังนั้นในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 ข้าพเจ้าจึงได้ค้นคว้าหาวิธีการที่จะแก้ปัญหานี้ โดยได้ศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่มีผู้ทำไว้จนได้พบว่า มีกิจกรรมหนึ่งที่คิดว่าน่าจะฝึกให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีนิสัยรักการอ่านได้ และเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยของนักเรียน นั่นคือ กิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวาง(Extensive Reading) ก่อนที่ข้าพเจ้าจะใช้นวัตกรรมนี้ ข้าพเจ้าได้ทำการสำรวจความสนใจและความต้องการในการอ่านหนังสือของนักเรียนว่าชอบอ่านหนังสือประเภทใด ผลการสำรวจพบว่า นักเรียนชอบอ่านหนังสือนิทานมากที่สุด ข้าพเจ้าจึงจัดหาหนังสือนิทานและให้นักเรียนมีส่วนร่วมโดยการนำหนังสือนิทานที่มีอยู่มาแลกกันอ่านกับเพื่อน ก่อนการทดลองนวัตกรรมข้าพเจ้าได้สร้างความเข้าใจ และขอความร่วมมือกับนักเรียนโดยอธิบายรายละเอียด ขั้นตอนลักษณะของกิจกรรมที่ต้องทำและประโยชน์ของการทำกิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวางให้นักเรียนทราบ ดังนี้ การอ่านแบบกว้างขวาง เป็นการอ่านภาษาอังกฤษด้วยความเต็มใจของนักเรียน เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษและพัฒนานิสัยรักการอ่าน กิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวางมี 2 ลักษณะ คือ 1) การอ่านในชั้นเรียน (In Class Reading) มีจุดประสงค์ให้นักเรียนเรียนรู้วิธีการอ่านและส่งเสริม กระตุ้น รวมทั้งจูงใจให้นักเรียนต้องการอ่านหนังสือ ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 การสนทนาเกี่ยวกับหนังสือ (Booktalk) ครูเป็นผู้นำการสนทนา ขั้นที่ 2 การอ่านออกเสียง (Read Aloud) เป็นการอ่านเรื่องเดียวทั้งชั้น ขั้นที่ 3 การอ่านในใจด้วยตนเอง (Sustained Silent Reading) นักเรียนอ่านเรื่องที่แตกต่างกันตามความสนใจ ขั้นที่ 4 การอภิปรายเกี่ยวกับวรรณคดี (Litrature Circle) ขั้นนี้เป็นขั้นที่นักเรียนที่อ่านเรื่องเดียวกันมานั่งล้อมวง แล้วเล่าสิ่งที่ตนอ่านให้เพื่อนฟัง เพื่อตรวจสอบความเข้าใจเนื้อหาจากเรื่องที่อ่าน อภิปรายหรือวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน โดยแต่ละคนในกลุ่มจะมีบทบาทที่แตกต่างกันไป ดังนี้ ผู้นำการอภิปราย (Discussion Director)ผู้วาดภาพเกี่ยวกับสิ่งที่ฟัง(Illustrator) ผู้รู้เกี่ยวกับคำศัพท์ยาก(Word Wizard)ผู้ย่อความเรื่องที่อ่าน(Summarizer)และผู้โยงเรื่องที่อ่านกับประเด็นอื่นๆ (Connector) ขั้นที่ 5 การเล่าทวนเรื่อง (Story Retelling) ในขั้นนี้นักเรียนแต่ละกลุ่มจะเล่าเรื่องให้เพื่อนกลุ่มอื่นฟัง โดยใช้วิธีการที่หลากหลาย อาจเป็นการแสดงบทบาทสมมติ แสดงละครสั้นๆ หุ่นมือ หรือวิธีการอื่นๆตามที่กลุ่ม ตกลงกัน ลักษณะที่ 2) การอ่านนอกชั้นเรียน (Out of Class Reading) มีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนฝึกอ่านด้วยตนเองนอกชั้นเรียน โดยนักเรียนเลือกเรื่องที่สนใจและบันทึกการอ่านลงในแบบที่ครูกำหนดให้ขั้นตอนนี้นักเรียนได้ตกลงว่าจะอ่านและบันทึกสัปดาห์ละ1 เรื่อง เป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์และนักเรียนเลือกเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจ 1 เรื่อง จัดทำเป็นหนังสือนิทานเล่มเล็กคนละ 1 เรื่อง เมื่อสร้างความเข้าใจให้นักเรียนทราบแล้วทุกขั้นตอน ข้าพเจ้าจึงเริ่มดำเนินการทดลองนวัตกรรมตามขั้นตอนที่กล่าวมา โดยใช้นักเรียนกลุ่มทดลองทด 1 ห้อง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 41 คน ใช้เวลาในการทดลองนวัตกรรม 6 สัปดาห์ เมื่อทดลองเสร็จสิ้น พบว่านักเรียนมีทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษมากขึ้นและมีนิสัยรักการอ่านมากขึ้น ซึ่งดูได้จากผลการอ่านนิทานแล้วสามารถตอบคำถาม เขียนย่อความและเล่านิทานให้เพื่อนฟังได้เข้าใจ นอกจากนั้นยังส่งผลให้นักเรียนมีนิสัยรักการอ่านมากขึ้น ดูได้ผลการตอบแบบสอบถามก่อนและหลังการใช้นวัตกรรมที่ครูสร้างขึ้นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจจากการใช้นวัตกรรมกิจกรรมการอ่านแบบกว้างขวางอีกประการหนึ่ง คือ นักเรียน 41 คน จัดทำนิทานเล่มเล็กได้อย่างสร้างสรรค์ น่าสนใจมีความประณีต แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและการรู้จักใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ไปกับการอ่านและการเขียน ซึ่งนิทานเล่มเล็กเหล่านี้ ครูจะใช้เป็นสื่อการสอนต่อไป นับว่าเป็นสื่อการสอนที่เกิดจากนักเรียนเป็นผู้สรรค์สร้างขึ้น ทั้งหมดที่เล่ามา คือความสำเร็จที่เกิดจากครูเป็น ผู้วางแผนการจัดการเรียนรู้ นักเรียนคือผู้ลงมือปฏิบัติ ผลที่ดีเกิดขึ้นกับนักเรียน ซึ่งถือเป็นหัวใจของการ จัดการศึกษาโดยตรง
อาจารย์ นพรัตน์ นามสกุลเดียวกับผมเลย ผมเป็นครูอยู่ กทม. ถ้ายังไงติดต่อกลับหน่อยนะคับ เมล์นี้นะ [email protected]
หวัดดีค่ะ พี่นาง
พี่นางยังจำอำไพได้หรือป่าวคะ สงสัยจะลืมน้องสาวคนนี้ไปแล้วละมั้ง หนูเคยโทรไปหาพี่นางที่บ้านหลายครั้ง มีคนรับสายแต่คุยกันไม่รู้เรื่อง หนูก็เลยเลิกโทร พี่นางคะไม่เจอกันนานพี่นางสบายดีหรือป่าวคะ หนูหวังว่าพี่นางคงสบายดีนะคะ ส่วนหนูก็เรื่อยๆ
ผลงานของพี่นางชิ้นนี้น่าสนใจนะคะ
สวัสดีค่ะ คือตอนนี้หนูเรียนอยู่ที่นิวซีแลนเอกภาษาอังกฤษ กำลังทำธีสิสเรื่องการอ่านของนร.ที่อังกฤษไม่ใช่ภาษาแรกโดยเน้นไปที่นร.ไทยกับจีนค่ะ อยากถามว่าที่คุณครูบอกว่า ทำการสำรวจพบว่านร.ชอบอ่านนิทาน คุณครูทำการสำรวจยังไง แบบไหน กับ นร.กี่คนคะ อยากถามด้วยว่าโปรเจคนี้ของคุณครูก้าวหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว กรุณาช่วยตอบด้วยนะคะ รู้ว่านร.ไทยและจีนอิงไปทางintensive readingมากว่าextensiveในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แต่หาแหล่งข้อมูลที่จะมาทำเป็นreferenceที่น่าเชื่อถือไม่ได้เลยค่ะ คุณครูพอจะช่วยได้ไหมคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์ อาจารย์สฤษดิ์หล่ะ คิดถืงอาจารย์ทั้งสองคนจัง ศิษเก่าสมัยลานทรายครับ ไม่ได้เห็น 20ปีแล้วมั้ง อาจารย์สบายดีกันใหมครับยังสวยยังหล่อเหมือนเดิมเลยน้อ อาจารย์เป็นแบบอย่างที่ดีของพวกผมเสมอ ขอให้รักกันมากๆนะครับ มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงทั้งสองคนนะครับ