ชนเผ่าว้า : อดีตนักล่าหัวมนุษย์แห่งรัฐฉาน
พม่าเรียกชนชาติว้า ว่า วะ(;) เดิมทีว้าส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า เขตว้า(;opN) เขตว้าตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐฉาน ติดชายแดนจีน-พม่า
ชนเผ่าว้า :
อดีตนักล่าหัวมนุษย์แห่งรัฐฉาน
พม่าเรียกชนชาติว้า
ว่า วะ(;) เดิมทีว้าส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า
เขตว้า(;opN) เขตว้าตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐฉาน
ติดชายแดนจีน-พม่า (ระหว่างละติจูต ๒๓ ๕๐‘ – ๒๒ ๑๐‘)
ด้านเหนือจรดเขตโกกั้ง(d6btdoNhopN)
ซึ่งเป็นพวกจีนก๊กมินตั๋งหรือจีนขาว(9U69Nez&)ที่ตกค้างอยู่ในประเทศพม่า
ด้านใต้จรดเขตมายลวน(,6b'Nt]:oNtopN)เดิม
ด้านตะวันตกจรดกับแม่น้ำสาละวิน และด้านตะวันตกจรดชายแดนจีน
เขตว้าเดิมมีขนาดพื้นที่ราว ๒,๕๐๐ ตารางไมล์ อันที่จริง
นับแต่อดีตว้ามิได้อาศัยอยู่เฉพาะในเขตว้าเท่านั้น
แต่ยังพบมีว้าบางส่วนอาศัยลงมาทางด้านใต้ในเขตมายลวนและเชียงตุง(dy7b'Nt96"opN)อีกด้วย
ในอดีต ว้าเป็นชนพื้นเมืองที่ออกจะล้าหลังมาก
ในขณะที่ฝ่ายโกกั้งและไทใหญ่ต่างมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองเหนือกว่าว้า
หากเทียบความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างว้ากับโกกั้งและไทใหญ่แล้ว
ว้ามีฐานะเยี่ยงบ่าว
ในขณะที่ฝ่ายโกกั้งและไทใหญ่นั้นอาจถือเป็นนายของว้า แต่ในปัจจุบัน
จากการที่ผู้นำว้ามีความใกล้ชิดกับรัฐบาลกลางมากกว่าแต่ก่อน
พวกว้าจึงมีโอกาสขยายพื้นที่ลงมาทางตอนล่างในพื้นที่ของพวกฉานหรือไทใหญ่
จนประชิดชายแดนไทย
ว้าในปัจจุบันจึงเริ่มกลายเป็นว้าที่ได้รับการยกฐานะเพื่อให้หลุดจากการที่เคยถูกตีตราว่าเป็นเผ่าล้าหลัง
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของพม่านั้น เคยมองว้าว่าล้าหลัง งมงาย
และโหดร้าย ดังเรื่องราวของว้า ตามที่ปรากฏในสารานุกรมพม่า ฉบับปี
ค.ศ. ๑๙๗๒ ได้สะท้อนภาพอดีตของว้าเมื่อราว ๓๐
ปีก่อนไว้อย่างน่าพิศวง
ว้าเป็นชนชาติที่พูดภาษาในตระกูลมอญ-เขมร เช่นเดียวกับเผ่าขมุ(-,^)
และปะหล่อง (xg]k'N) ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในรัฐฉานของพม่าเช่นกัน
ว้ามีตำนานเล่าถึงการกำเนิดของชนเผ่าของตนไว้ว่า
เผ่าว้าเกิดมาจากถ้ำศิลาหลวง (gdykdN8^Wdut)
ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองปัตกะเต๊ะ (x9Ndg9H)
เชื่อกันว่าแรกๆว้าอาศัยอยู่แถบเมืองปะเต๊ะ(xg9H)
และลวยเลง(]:pN]boNt) แล้วจึงอาศัยกระจายไปทั่วเขตว้า
เรื่อยมาจนถึงเขตมายลวนและเชียงตุงทางด้านใต้
ตำนานยังกล่าวว่าคราหนึ่งได้เกิดเสียงกระหึ่มดังก้องมาจากถ้ำ
ซึ่งเป็นนิมิตว่าถ้ำจะให้กำเนิดชนเผ่ากลุ่มใหม่อีก
ด้วยกลัวว่าชนเผ่าใหม่จะมาครอบงำและขับไล่พวกตน
ว้าจึงได้ยิงธนูเข้าไปในถ้ำเพื่อหยุดเสียงประหลาดนั้นเสีย
ถ้ำนั้นจึงแท้งด้วยฤทธิ์ธนูของว้า
โดยนิสัยแล้ว กล่าวกันว่าคนว้าไม่นิยมอาบน้ำและไม่ชอบการซักเสื้อผ้า
เวลาเจ็บไข้ก็มักจะพึ่งการทำนายของหมอผี
โดยหมอผีจะทำพิธีเซ่นผีอาจด้วยไก่เพื่อการรักษา
หากไม่หายจากโรคก็ต้องเซ่นผีซ้ำตามแต่ที่หมอผีจะกำหนด
ว้ายังนิยมการรักษาด้วยรากไม้ที่เชื่อว่ามีสรรพคุณรักษาได้ทุกโรค
(พม่าเรียกโรคเก้าสิบหก) รากไม้นั้นจะขึ้นอยู่ ณ ดอยลวยมู
(]:pN,^tg9k'N)
ดอยนี้อาจเทียบได้กับเขาโปปา(x6x»ktg9k'N)ของพม่าซึ่งอยู่ทางเมืองพุกาม
(พม่ามีความเชื่อเกี่ยวกับรากไม้วิเศษบนเขาโปปาว่าสามารถรักษาโรคได้เช่นกัน
บนยอดเขาโปปาจึงมีแท่นหินสำหรับฝนยาวางไว้
ซึ่งชาวบ้านก็ยังใช้อยู่จนบัดนี้)
ดอยลวยมูจึงเปรียบดุจเขาโปปาสำหรับชาวว้านั่นเอง นอกจากนี้
ว้าไม่ชอบการเดินทางไปในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนจัด
หากจำเป็นก็จะไม่ยอมค้างคืน พอเสร็จธุระแม้จะลำบากเพียงไร
ก็จะต้องเดินทางออกมาให้พ้นจากที่แห่งนั้น
ว้าจึงเป็นคนติดที่ด้วยกลัวความรุนแรงของสภาพอากาศในต่างถิ่น
ว้ายังเป็นที่รู้จักของโลกภายนอกว่าเป็นนักล่าหัวมนุษย์
และเรื่องนี้ก็เป็นความจริงเช่นกัน ดังพบว่าเมื่อราว ๓๐ ปีก่อน
ชาวว้าบางส่วนยังนิยมล่าหัวมนุษย์ ตำนานมีอยู่ว่า ตาลี (9k]u)และยานำ
(pko,N) เหล่ากอของว้าได้กำเนิดออกมาจากถ้ำศิลาหลวง
แล้วก็เดินทางมายังลวยเลง ในระหว่างทางจึงได้หยุดพักเอาแรง
ฝ่ายลูกชายคนโตของคนทั้งสอง(บ้างว่าเป็นหลานของตาลีและยานำ)จึงนั่งฝนมีด
แล้วก็ใช้มีดนั้นลองตัดเส้นผมของยานำเพื่อทดสอบคม
แต่กลับพลาดไปตัดคอของยานำจนขาด
และปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะผี(o9N)คงปรารถนาหัวมนุษย์เป็นเครื่องเซ่น
นับแต่นั้นมา ชาวว้าจึงมีพิธีกรรมล่าหัวมนุษย์เพื่อนำมาบูชาผี
และเชื่อว่าหากพื้นที่ใดมีการบูชาผีหรือเทพด้วยหัวมนุษย์ผู้คนก็จะล้มตายน้อยลง
พืชผลจะดี และชาวว้าก็จะอยู่อย่างสงบสุข
กล่าวกันว่าชนเผ่าว้านิยมการเซ่นผีด้วยหัวมนุษย์ต่างถิ่นมากว่าคนในท้องถิ่น
เหตุเพราะเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายจะถูกตรึงให้วนเวียนอยู่ในพื้นที่และไม่อาจออกนอกหมู่บ้านของว้าได้อีก
ส่วนการออกล่านั้น
หมอผีจะทำหน้าที่ทำนายด้วยการดูนิมิตจากการเซ่นผีด้วยไก่อ่อน
เพื่อบอกว่าควรจะต้องไปล่าหัวมนุษย์ในทิศใด
แต่ถ้าด้านนั้นเป็นทิศของฝ่ายตน หรือทำนายว่าอาจมีการสูญเสียมาก
ก็จะไม่ออกล่า แต่จะไปหาซื้อกระโหลกมนุษย์จากผู้ที่สะสมไว้
ในราคาหัวละ ๒๐๐ - ๓๐๐ จั๊ตมาเซ่นสรวงแทน
หากหาซื้อไม่ได้ก็จะไปขุดหาเอาตามป่าช้า
แล้วตัดหัวศพมาใช้เป็นเครื่องเซ่น
คนว้าหรือคนแถบนั้นจึงมักฝังศพผู้ตายไว้ที่จำเพาะของตนโดยล้อมรั้วไว้
หรือไม่ก็แอบฝังศพกันในบ้าน เพื่อป้องกันการขโมย เมื่อ ๓๐ ปีก่อนนี้
เขตซังโทง(CoN56")เคยมีการซื้อขายหัวมนุษย์
และเคยมีการล่าหัวมนุษย์ในแถบดอยลวยมู
บางหมู่บ้านมีเสาแขวนหัวมนุษย์ตั้งไว้ถึง ๑๐๐ - ๑๕๐ เสา
ส่วนที่บ้านลวยเลงและซีต่อ(Cug9kN)พบว่ามีการเซ่นไหว้ผีด้วยหมาดำแทนการใช้หัวมนุษย์
และพบว่าหัวมนุษย์นั้นสามารถตั้งบูชาผีไว้ได้นานถึง ๑๐
ปีโดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ ปัจจุบันการล่าหัวมนุษย์ทำได้ยากขึ้น
ชาวว้าจึงต้องหันมาเซ่นผีด้วยการฆ่าสัตว์ อาทิ ควายและสุนัข
แทนการสังเวยด้วยหัวมนุษย์
กล่าวกันว่าว้าเป็นชนเผ่าที่มักผูกพยาบาทและรักพวกพ้อง
ว้าจะไม่ยอมให้ชนเผ่าอื่นมารังแกเผ่าตนหรือวุ่นวายกับหมู่บ้านของตน
หากมีเรื่องราวกับผู้อื่นก็มักจะคอยจ้องหาหนทางต่างๆนานาเพื่อล้างแค้น
และไม่มีวันเลิกลาไปได้ง่ายจนกว่าแค้นจะถูกชำระ
แต่ถ้าคบหากันอย่างมิตรก็มีความจริงใจ
ว้ามีพิธีผูกมิตรด้วยการดื่มน้ำสาบาน โดยจะมีผู้แทนของทั้ง ๒
ฝ่ายมาร่วมพิธี มีการฆ่าควายเพื่อแบ่งปันกันกิน
และเอาเหรียญเงินเก่าๆกับกระสุนและปลอกดินปืนใส่ลงในเหล้าแล้วดื่มร่วมกัน
จากนั้นจะแบ่งของที่แช่สุรานั้นให้แต่ละฝ่าย
พิธีสาบานนั้นเป็นการตั้งสัตย์ที่จะช่วยเหลือกันในยามจำเป็น
โดยช่วยกันไม่ว่าจะเป็นในด้านกำลังคนหรืออาวุธ
แต่ก่อนพบว่าพวกว้าใช้ปืนใหญ่ขนาดกระบอกกว้าง ๑ นิ้วครึ่งถึง ๒ นิ้ว
และยาวประมาณ ๑๐–๑๒ ฟุต สามารถยิงได้ไกลถึง ๓๐๐–๔๐๐ หลา
บางหมู่บ้านมีการทำป้อมค่าย มีการขุดคูรอบค่ายและทำหลุมพรางฝังแหลน
โดยอาจอาบยางพิษไว้ที่ปลายแหลม
หากเป็นคนภายนอกจะเข้าหมู่บ้านไปโดยมิได้บอกกล่าวไม่ได้
และหากว้าไม่วางใจอาจจะไม่ปล่อยให้ออกมาอีกเลยก็เป็นได้
พื้นที่ว้าจึงเป็นแดนหวงห้ามสำหรับคนภายนอก
ว้านิยมสร้างบ้านกันในเดือนตุลาคม-มกราคม
เมื่อสร้างบ้านใหม่ก็จะมีงานเลี้ยงฉลองกันด้วยเหล้าถึง ๑ - ๓ วัน
พม่าว่าว้านั้นงมงายเอามาก
ในบ้านนั้นจึงกำหนดพื้นที่หวงห้ามไว้ไม่ให้คนภายนอกเข้า
แขกไม่ควรเดินผ่านที่สำหรับเจ้าบ้านนั่ง
และห้ามวางหม้อข้าวทับที่นั่งของเจ้าบ้าน แม้แต่ใบไม้สำหรับมวนบุหรี่
ผู้อื่นจะหยิบไปโดยไม่บอกกล่าวไม่ได้เป็นอันขาด
ว้าห้ามวางสิ่งของไว้ในมุมด้านขวาของบ้านด้วยเป็นมุมตั้งหิ้งผี
และเชื่อว่าหากทำสิ่งใดไม่ควรก็จะผิดผี
และเจ้าของบ้านก็จำเป็นต้องเซ่นผีขอขมา
หากคนภายนอกทำให้ผิดผีก็จะต้องเสียค่าปรับ
มิเช่นนั้นจะสร้างความไม่สบายใจให้กับเจ้าของบ้านได้
วิถีชีวิตของชนเผ่าว้าในอดีตนับว่าออกจะลึกลับอยู่ไม่น้อย
จึงยากยิ่งที่คนภายนอกจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยมิได้เรียนรู้วิถีชีวิตของว้าเป็นอย่างดี
และยิ่งว้าเคยเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน (ช่วง ค.ศ.๑๙๖๘–๑๙๘๙)
ภาพลักษณ์ของว้าในสายตาของพม่าจึงย้ำภาพที่ออกจะเป็นภัยมากกว่าเป็นมิตร
พอระยะหลัง เรื่องราวเกี่ยวกับว้าหันมาผูกติดกับเรื่องยาเสพติด
แต่ก็กลับมีภาพเป็นมิตรกับรัฐบาลพม่ามากกว่าแต่ก่อน
ส่วนว้าในภาพของชนเผ่าล้าหลังอย่างที่พม่าเคยเขียนไว้เมื่อ ๓๐-๔๐
ปีก่อนนั้นกลับเลือนไป
วิถีชีวิตของว้าทั้งเก่าและใหม่จึงเป็นประเด็นที่ควรศึกษาและเปิดเผยให้โลกรู้มากขึ้น
วิรัช
นิยมธรรม