หน้าแรก
สมาชิก
wat .
สมุด
การจัดการความรู้ก...
การจัดการความรู้ก...
wat .
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
การจัดการความรู้กับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์
การจัดการความรู้กับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ **
การจัดการความรู้กับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ **
จิรัชฌา วิเชียรปัญญา*
สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (
Knowledge - based Society and Economy)
เป็นสังคมที่ความรู้ได้กลายมาเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง การพัฒนาความรู้ใหม่ๆ เพื่อการแข่งขันและเสริมสร้างความ เข้มแข็งจึงเป็นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งของกระบวนการพัฒนาประเทศ ในระบบเศรษฐกิจจะให้ความ สำคัญต่อการเปลี่ยนความรู้เป็นนวัตกรรมโดยอาศัยเทคโนโลยีระดับสูง การพัฒนาสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้จะทำให้สัดส่วนความรู้ที่อยู่ภายในกับภายนอกตัวบุคคลเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีความจำเป็นและความต้องการในการเปลี่ยนแปลงความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล (
Tacit knowledge)
ให้มีสภาพกลายเป็นความรู้ที่ปรากฏชัดเจน (
Explicit knowledge)
ด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้ การบริหารจัดการ ความรู้ (
Knowledge Management - KM)
เป็นเรื่องที่ทุกมิติในสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน หรือแม้กระทั่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชุมชนต่างให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก ในทัศนะของผู้เขียนมองว่าองค์ประกอบหลักที่สำคัญประการหนึ่งของการจัดการความรู้คือ
“
กระบวนการจัดการความรู้
”(KMProcess)
ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์แต่อย่างใดในขณะที่ทุกวงการให้ความสำคัญและสนใจเป็นอย่างมากแต่วงการบรรณารักษศาสตร์ของประเทศไทยกลับมีกิจกรรมในเรื่องดังกล่าวน้อยมากและจากการสนทนาอย่าง ไม่เป็นทางการกับผู้สอนและผู้บริหารที่ปฏิบัติงานในวงการดังกล่าวทุกท่านตอบตรงกันเป็นเสียงเดียวกันว่า
“
ยังมีความรู้ความเข้าใจที่ไม่ชัดเจน ตลอดจนไม่ทราบว่าจะนำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศได้อย่างไร
”
นั่นคือที่มาของบทความนี้ซึ่งผู้เขียนในฐานะที่เคยบริหารงานห้องสมุดมาเป็นเวลาร่วม 8 ปี และได้ศึกษาแนวคิดการจัดการความรู้มาหลายปีจึงขอนำเสนอแนวคิดของการจัดการความรู้กับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์โดยมีรายละเอียด ที่สำคัญสองประการคือ
ประการแรก เป็นทัศนะของการปรับเปลี่ยนมุมมองในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของการจัดการความรู้และ ประการที่สอง เป็นข้อเสนอแนะหรือแนวทางของการปรับเปลี่ยนที่ยั่งยืนสำหรับการฝังรากของการจัดการความรู้ลงในกระบวนการของงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ รายละเอียดทั้งสองมิติมีดังนี้
* อาจารย์ประจำ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต
เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง
“
บรรณารักษ์/นักสารสนเทศกับการจัดการความรู้
”
ของกรมสุขภาพจิต วันที่ 23 มีนาคม 2548 ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี
สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (
Knowledge - based Society and Economy)
เป็นสังคมที่ความรู้ได้กลายมาเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง การพัฒนาความรู้ใหม่ๆ เพื่อการแข่งขันและเสริมสร้างความ เข้มแข็งจึงเป็นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งของกระบวนการพัฒนาประเทศ ในระบบเศรษฐกิจจะให้ความ สำคัญต่อการเปลี่ยนความรู้เป็นนวัตกรรมโดยอาศัยเทคโนโลยีระดับสูง การพัฒนาสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้จะทำให้สัดส่วนความรู้ที่อยู่ภายในกับภายนอกตัวบุคคลเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีความจำเป็นและความต้องการในการเปลี่ยนแปลงความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล (
Tacit knowledge)
ให้มีสภาพกลายเป็นความรู้ที่ปรากฏชัดเจน(
Explicitknowledge)
ด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้การบริหารจัดการความรู้ (
Knowledge Management-KM)
เป็นเรื่องที่ทุกมิติในสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน หรือแม้กระทั่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชุมชนต่างให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก ในทัศนะของผู้เขียนมองว่าองค์ประกอบหลักที่สำคัญประการหนึ่งของการจัดการความรู้คือ
“
กระบวนการจัดการความรู้
” (KM Process)
ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์แต่อย่างใด ในขณะที่ทุกวงการให้ความสำคัญและสนใจเป็นอย่างมาก แต่วงการบรรณารักษศาสตร์ของประเทศไทยกลับมีกิจกรรมในเรื่องดังกล่าวน้อยมากและจากการสนทนาอย่าง ไม่เป็นทางการกับผู้สอนและผู้บริหารที่ปฏิบัติงานในวงการดังกล่าว ทุกท่านตอบตรงกันเป็นเสียงเดียวกันว่า
“
ยังมีความรู้ความเข้าใจที่ไม่ชัดเจนตลอดจนไม่ทราบว่าจะนำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศได้อย่างไร
”
นั่นคือที่มาของบทความนี้ซึ่งผู้เขียนในฐานะที่เคยบริหารงานห้องสมุดมาเป็นเวลาร่วม 8 ปี และได้ศึกษาแนวคิดการจัดการความรู้มาหลายปีจึงขอนำเสนอแนวคิดของการจัดการความรู้กับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์โดยมีรายละเอียดที่สำคัญสองประการคือ
ประการแรกเป็น
ทัศนะของการปรับเปลี่ยนมุมมองในประเด็นต่างๆที่เกี่ยวข้องกับงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของการจัดการความรู้และ
ประการที่สองเป็นข้อเสนอแนะหรือแนวทางของการปรับเปลี่ยนที่ยั่งยืนสำหรับการฝังรากของการจัดการความรู้ลงในกระบวนการของงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ รายละเอียดทั้งสองมิติมีดังนี้
* อาจารย์ประจำ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต
** เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง
“
บรรณารักษ์/นักสารสนเทศกับการจัดการความรู้
”
ของกรมสุขภาพจิต วันที่ 23 มีนาคม 2548 ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี
สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ (
Knowledge - based Society and Economy)
เป็นสังคมที่ความรู้ได้กลายมาเป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง การพัฒนาความรู้ใหม่ๆ เพื่อการแข่งขันและเสริมสร้างความ เข้มแข็งจึงเป็นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งของกระบวนการพัฒนาประเทศ ในระบบเศรษฐกิจจะให้ความ สำคัญต่อการเปลี่ยนความรู้เป็นนวัตกรรมโดยอาศัยเทคโนโลยีระดับสูงการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้จะทำให้สัดส่วนความรู้ที่อยู่ภายในกับภายนอกตัวบุคคลเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากมีความจำเป็นและความต้องการในการเปลี่ยนแปลงความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล (
Tacit knowledge)
ให้มีสภาพกลายเป็นความรู้ที่ปรากฏชัดเจน(
Explicitknowledge)
ด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้
การบริหารจัดการความรู้ (
KnowledgeManagement-KM)
เป็นเรื่องที่ทุกมิติในสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน หรือแม้กระทั่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชุมชนต่างให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก ในทัศนะของผู้เขียนมองว่าองค์ประกอบหลักที่สำคัญประการหนึ่งของการจัดการความรู้คือ
“
กระบวนการจัดการความรู้
” (KM Process)
ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์แต่อย่างใด ในขณะที่ทุกวงการให้ความสำคัญและสนใจเป็นอย่างมาก แต่วงการบรรณารักษศาสตร์ของประเทศไทยกลับมีกิจกรรมในเรื่องดังกล่าวน้อยมากและจากการสนทนาอย่าง ไม่เป็นทางการกับผู้สอนและผู้บริหารที่ปฏิบัติงานในวงการดังกล่าว ทุกท่านตอบตรงกันเป็นเสียงเดียวกันว่า
“
ยังมีความรู้ความเข้าใจที่ไม่ชัดเจน ตลอดจนไม่ทราบว่าจะนำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศได้อย่างไร
”
นั่นคือที่มาของบทความนี้ซึ่งผู้เขียนในฐานะที่เคยบริหารงานห้องสมุดมาเป็นเวลาร่วม 8 ปี และได้ศึกษาแนวคิดการจัดการความรู้มาหลายปีจึงขอนำเสนอแนวคิดของการจัดการความรู้กับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์โดยมีรายละเอียดที่สำคัญสองประการคือ
ประการแรก เป็นทัศนะของการปรับเปลี่ยนมุมมองในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของการจัดการความรู้และ
ประการที่สอง เป็นข้อเสนอแนะหรือแนวทางของการปรับเปลี่ยนที่ยั่งยืนสำหรับการฝังรากของการจัดการความรู้ลงในกระบวนการของงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ รายละเอียดทั้งสองมิติมีดังนี้
* อาจารย์ประจำ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต
** เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง
“
บรรณารักษ์/นักสารสนเทศกับการจัดการ
ความรู้
”
ของกรมสุขภาพจิต วันที่ 23 มีนาคม 2548 ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี
มิติแรก การปรับเปลี่ยนมุมมองในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับงานห้องสมุดหรือ
ศูนย์สารสนเทศเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของการจัดการความรู้
การขยายหรือปรับเปลี่ยนมุมมองที่เกี่ยวข้องกับงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของการจัดการความรู้ ผู้เขียนขอนำเสนอรายละเอียดที่สำคัญ 5 ประการดังนี้
ประการแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรและกระบวนการทำงานของห้องสมุดหรือศูนย์สาร- สนเทศ ผู้เขียนมีความเห็นว่ากระบวนการทำงานของห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศมีความสอดคล้องกับกระบวนการของการจัดการความรู้หลายประการ อาทิ มีกระบวนการจัดหา (
Acquisition)
การเลือก (
Selecting)
การเก็บรวบรวม (
Collection)
การจัดให้เป็นระบบ (
Organization)
การทำดัชนี (
Indexing)
และการจัดเก็บและค้นคืน (
Storage and Retrieval)
เป็นต้น หากแต่มีความแตกต่างกันในด้านทรัพยากร (
Collection / Resources)
หรือสิ่งที่ดำเนินการ นั่นคือ ในงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศจะดำเนินการกับสิ่งที่เราเรียกว่า
“
ความรู้ที่ชัดแจ้ง
” (Explicit Knowledge)
หรือ
“
สารสนเทศ
” (Information)
ซึ่งส่วนมากอยู่ในรูปแบบของเอกสารสิ่งพิมพ์ คู่มือ หรือสิทธิบัตร เป็นต้น แทนที่จะเป็น
“
ความรู้โดยนัย
” (Tacit Knowledge)
ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดเจนและส่วนมากเป็นความรู้หรือทักษะที่อยู่ในตัวคนหรือกระบวนการทำงาน ดังนั้น บรรณารักษ์หรือนักสารสนเทศจึงจำเป็นต้องขยายขอบเขตประเภทของทรัพยากรห้องสมุดจากความรู้ที่ชัดแจ้งหรือสารสนเทศไปสู่ความรู้โดยนัยให้มากขึ้น ประการที่สอง เป็นเรื่องของ เป้าหมายการทำงานของห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ ซึ่งแตก ต่างจากเป้าหมายของการจัดการความรู้อย่างชัดเจน นั่นคือ การจัดการความรู้มีเป้าหมายที่จะตอบ- สนองเป้าหมายขององค์กรอย่างชัดเจนเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน หรือการเอาชนะธุรกิจโดยการสร้างกำไรให้เกิดขึ้น หรือเน้นที่การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้โดยมีกระบวนการที่เป็นหัวใจสำคัญคือ
“
การแบ่งปันความรู้
” (Knowledge sharing)
และ
“
การสร้างความรู้ใหม่
” (Knowledge creation)
ซึ่งแตกต่างจากห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศที่มีเป้าหมายลอยๆ ไม่ได้ผูกติดหรือตอบสนองการดำเนินงานของหน่วยงานต้นสังกัดอย่างชัดเจนจึงทำให้บทบาทของห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศไม่สำคัญในทัศนะของผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ดังนั้นห้องสมุดหรือศูนย์สาร- สนเทศจึงควรปรับเป้าหมายการทำงานของตนให้สอดคล้องและแนบแน่นกับเป้าหมายของหน่วยงานต้นสังกัดอย่างเป็นรูปธรรม สามารถเข้าใจและสื่อสารได้ง่าย ทั้งนี้เพื่อทำให้เกิดแนวทางสำหรับผู้ที่ทำงานทุกคนจะได้รับรู้และเข้าใจถึงเป้าหมายดังกล่าวอย่างชัดเจนซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับทิศทางขององค์กรต้นสังกัด ประการที่สาม เป็นเรื่องบทบาทของห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศและบทบาทของผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศทั้งสองประเด็นดังกล่าวผู้เขียนขอนำเสนอแนวคิดในรายละเอียดดังนี้
•
บทบาทของห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ
เนื่องจากสภาพของห้องสมุดมีความแตกต่างกันในหลากหลายมิติ ทั้งในด้านประเภทของห้องสมุด เป้าหมาย ทรัพยากร หรืองบประมาณที่ได้รับ ฯลฯ ทำให้การประยุกต์ใช้แนวคิดการจัดการความรู้แตกต่างกันออกไปบ้าง ทั้งนี้ผู้เขียนมองว่า
“
เป้าหมาย
”
ของหน่วยงานต้นสังกัดจะเป็นทิศทางของห้องสมุดแต่ละประเภท ซึ่งในทัศนะดังกล่าวดูเหมือนว่าห้องสมุดเฉพาะ (
Special Library)
น่าจะมีความได้เปรียบอย่างมากในการนำแนวคิดการจัดการความรู้ไปใช้ได้อย่างชัดเจนที่สุด ส่วนห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษานั้น (
Academic Library)
ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการเรียนการสอนของสถาบันต้นสังกัด นั่นคือ หากสถาบันต้นสังกัดยังคงอยู่ในสภาพที่มีการเรียนการสอนที่หลากหลาย (
Comprehensive University)
ก็คงจะมีโอกาสน้อยกว่าสถาบันที่เน้นการวิจัยเป็นหลัก (
Research University)
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าห้องสมุดของสถาบันที่เป็น
Comprehensive University
จะไม่สามารถนำแนวคิดการจัดการความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้ ส่วนห้องสมุดโรงเรียน (
School Library)
ก็มีโอกาสที่ดีเนื่องจากแนวคิดการจัดการความรู้สามารถตอบสนองเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษาได้อย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่ห้องสมุดโรงเรียนสามารถกระทำได้คือ การสนับสนุนครูซึ่งได้เปลี่ยนบทบาทจากที่สอนเป็นหลักมาเป็นผู้อำนวยความสะดวก (
Facilitator)
ในการเรียนรู้ของผู้เรียนคำถามของห้องสมุดโรงเรียนก็คือ
“
ทำอย่างไรที่ห้องสมุดโรงเรียนจะสนับสนุนครูผู้สอนรวมทั้งมีบทบาทในการสร้างและสนับสนุนผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่จะเป็นผู้ที่ใช้ความรู้ในการศึกษาเรียนรู้และใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มศักยภาพ
”
ส่วนห้องสมุดประชาชน (
Public Library)
ก็ต้องตอบสนองวิถีชีวิตของชุมชนให้มากขึ้น มีกรณีตัวอย่างที่ดีหลายชุมชนที่ใช้กระบวน การจัดการความรู้ในการแก้ปัญหา สร้างความเข้มแข็ง และพัฒนาชุมชนของตนให้อยู่รอดและมีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้จากเว็บไซด์ของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) -
http://www.kmi.or.th
•
บทบาทของบรรณารักษ์หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ
ผู้เขียนมองว่าบรรณารักษ์สามารถขยายบทบาทของตนเองโดยมีฐานะที่เป็นคนกลางซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงหรืออำนวยความสะดวก (
Knowledge Facilitation)
ให้แก่ผู้ที่ทำงานในองค์กร(
Knowledge Practitioner)
ผู้ที่มีความรู้หรือผู้สร้างความรู้ (
Knowledge Creator)
ให้มาพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และอีกบทบาทหนึ่งที่สำคัญคือ การปรับบทบาทของตนให้เป็น
“
ผู้บริหารจัดการความรู้
” (Chief Knowledge Officer - CKO)
ของหน่วยงาน นั่นคือ
บรรณารักษ์จำเป็นจะต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้มีบทบาทที่สำคัญดังนี้
1)เป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์การจัดการความรู้ขององค์กร
2) สนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กร
3)พัฒนาช่องทางและเครื่องมือเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ขององค์กร
4)พัฒนาฐานความรู้
5)พัฒนาวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันภายในองค์กร
6)สนับสนุนและผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในกระบวนการจัดการความรู้อย่างเหมาะสมและ
7) พัฒนาระบบการประเมินคุณค่าและมูลค่าความรู้ขององค์กร เป็นต้น
ประการที่สี่ เป็นเรื่อง บริการของห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ (
Library Services)
ผู้เขียนมีทัศนะว่าห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศควรขยายรูปแบบหรือกิจกรรมที่จัดหรือให้บริการ คำถามที่สำคัญคือ
“
ทำอย่างไรที่จะทำให้บริการของห้องสมุดเข้าไปแนบแน่นกับกิจกรรมของผู้ใช้บริการซึ่งอาจจะเป็นการเรียน การสอนการทำงานประจำวัน หรือแม้กระทั่งการดำเนินชีวิตในชุมชน
”
ผู้เขียนเห็นว่าสิ่งสำคัญที่ห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศจำเป็นจะต้องทำอย่างรีบด่วนคือการจัดทำ
“
แผนที่ความรู้
”
(
Knowledge Map)
ขององค์กร นั่นคือ เป็นการจัดทำแผนผังที่บอกถึงขอบเขตของความรู้ แหล่งความรู้ ผู้ที่มีความรู้รวมถึงวิธีการที่จะเข้าถึงความรู้เหล่านั้น นอกจากนั้นควรพัฒนา
“
ท่าความรู้
” (Knowledge Portal
หรือ
Web Portal)
ซงจะเป็นทางผ่านเชื่อมต่อไปยังเว็บอื่น ๆ โดยอาศัยเครื่องมือสืบค้นเพื่อการเข้าถึงความรู้ และการจัดทำ
“
ฐานความรู้
” (Knowledge Base)
ซึ่งจะเป็นแหล่งที่เก็บความรู้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บความรู้ไว้เป็นหมวดหมู่และเป็นระดับขั้นของความรู้ รวมทั้งมีระบบดัชนีเพื่อช่วยในการสืบค้น อนึ่งฐานความรู้ของห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศควรขยายขอบ เขตลักษณะความรู้ที่จัดเก็บออกไปเป็นกรณีศึกษา (
Case Study)
แนวทางการทำงานหรือการปฏิบัติที่ดีที่สุด (
Best Practices)
หรือฐานประสบการณ์หรือบทเรียนที่ผ่านมา (
Experience Base / Lesson Learned)
เป็นต้น ฐานความรู้ดังกล่าวคาดว่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานในองค์กรเป็นอย่างมากนอกจากบริการที่กล่าวมาแล้วข้างต้นผู้เขียนใคร่ขอเสนอแนะกิจกรรมหรือบริการที่จะทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงความรู้ (
Knowledge Conversion)
ในสองมิติคือ การเปลี่ยนแปลงความรู้โดยนัยไปเป็นความรู้โดยนัยและเป็นความรู้ที่ปรากฏชัดเจน(
Tacit to Tacit and Explicit Knowledge)
ได้อีกด้วยคือ การจัดเสวนาความรู้ (
Knowledge Dialog)
เวทีความรู้ (
Knowledge Forum)
ตลาดนัดความรู้ (
Knowledge Market)
รวมทั้งการจัดมุมความรู้ที่น่าสนใจ (
Knowledge Corner)
กิจกรรมดังกล่าวจะทำให้ความรู้ได้แพร่กระจายทั่วทั้งองค์กรสามารถสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นรวมทั้งสามารถกระตุ้นการเรียนรู้ขององค์กรได้ไม่มากก็น้อย ประการสุดท้าย เป็นเรื่องของ ผู้ใช้ ผู้เขียนมองเห็นว่าห้องสมุดจะให้ความสำคัญและสนใจ อยู่กับผู้ที่ใช้ห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศเท่านั้นแต่ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกลุ่มที่ไม่ใช้เท่าใดนัก นอกจากนั้นก็ยังไม่ค่อยให้ความสนใจถึงความแตกต่างระหว่างผู้ใช้กลุ่มต่างๆมากหากต้องการประยุกต์แนวคิดการจัดการความรู้เข้ามาใช้ในงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศผู้ปฎิบัติงานจำเป็นที่จะต้องขยายขอบเขตไปยังบุคคลที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้ในด้านต่าง ๆ ในฐานะที่เป็น
“
ผู้สร้างความรู้
”
ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานของตน ทั้งนี้โดยจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการถ่ายทอด แลกเปลี่ยน และแบ่งปันความรู้ให้เกิดขึ้น ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ อาจมีหลายท่านกล่าวว่า
“
ห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศก็ทำแล้วนะ
”
แต่ผู้เขียนมองว่า สิ่งที่ทำอยู่เป็นเพียง
“
รูปแบบ
”
ซึ่งยังไม่ได้เน้นที่
“
สาระหรือความรู้
”
ซึ่งต้องตอบสนองและแนบแน่นอยู่กับวิสัยทัศน์พันธกิจหรือยุทธศาสตร์ขององค์กรและของงานที่ผู้ใช้ห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศเกี่ยวข้องด้วย มิติที่สอง ข้อเสนอแนะ / แนวทางของการปรับเปลี่ยนที่ยั่งยืน
สำหรับการฝังรากการจัดการความรู้ลงในศาสตร์และงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ
ผู้เขียนมองเห็นโอกาสที่จะนำแนวคิดการจัดการความรู้เข้าไปประยุกต์ใช้ในศาสตร์และ งานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ ทั้งนี้ความสำเร็จดังกล่าวตั้งอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่สำคัญคือ
“
สมองประสานใจ
”
นั่นคือ ผู้ที่อยู่ในวิชาชีพจะต้องมีทัศนะ ความคิดเห็น และความรู้สึกเชิงบวก รวมทั้งมีความมั่นใจและเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม สำหรับแนว ทางและข้อเสนอแนะที่จะทำให้การจัดการความรู้ฝังรากลึกลงไปในศาสตร์และงานห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ ผู้เขียนขอเสนอแนะในเชิงโครงสร้างและการปฏิบัติดังนี้
•
โรงเรียนบรรณารักษ์ควรทบทวน และปรับหลักสูตรให้ตอบสนองกับแนวคิดการบริหารจัดการความรู้ให้มากขึ้น ผู้เขียนไม่คิดว่า การเปิดรายวิชา
“
การจัดการความรู้
”
เพียงรายวิชาเดียวจะทำให้แนวคิดการจัดการความรู้ฝังรากลึกลงไปในงานห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศได้ หากแต่ต้องบูรณาการแนวคิดดังกล่าวลงไปในหลายๆรายวิชาอาทิ การบริหารห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศ การพัฒนาทรัพยากรห้องสมุด การบริการ การพัฒนาระบบการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ รวม ทั้งรายวิชาอื่น ๆ ด้วยจึงจะทำให้การจัดการความรู้ฝังรากลึกลงไปในวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์และงานของห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศได้อย่างครบถ้วนในทุกมิติ
•
โรงเรียนบรรณารักษ์ และสมาคมวิชาชีพ เช่น สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ควรมีบทบาทในการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด หลักการ และแนวปฏิบัติของการประยุกต์ใช้การจัดการความรู้กับงานห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศโดยผ่านกระบวนการฝึกอบรมสัมมนา เสวนา รวมทั้งฝึกปฏิบัติ เพื่อให้ผู้ที่ทำงานสามารถนำความรู้ดังกล่าวมาใช้ในการพัฒนาและขยายขอบเขตของงานที่ทำได้ และที่สำคัญคือการให้ภาพและมุมมองของการปรับเปลี่ยน
องค์กร (
Organizational Transformation)
ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเชิงรูปแบบ (
Form)
หากแต่ไม่ได้เปลี่ยนแก่นแท้(
Essence)
หรือสาระของวิชาชีพและงานที่ยังคงให้ความสำคัญกับ
“
ผู้ใช้และการบริการ
”
เป็นหลัก
•
ห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศควรทบทวนบทบาทของตนเองและตอบให้ได้ว่า
“
บทบาทหรืองานที่ตนทำอยู่นั้นตอบสนองต่อเป้าหมาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ หรือยุทธศาสตร์ใดของหน่วยงานต้นสังกัด
”
หากห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศใดมีความพร้อมที่จะนำแนวคิดการจัดการความรู้ไปใช้ ผู้เขียนขอเสนอแนะว่าควรมีการจัดปรับโครงสร้างของการทำงาน นั่นคือ จัดให้มีหน่วยงานที่ดำเนิน งานและรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการควา
เขียนใน
GotoKnow
โดย
wat .
ใน
การจัดการความรู้กับวิชาชีพบรรณารักษศาสตร์
คำสำคัญ (Tags):
#การจัดการความรู้
#บรรณารักษศาสตร์
#ห้องสมุด
หมายเลขบันทึก: 154853
เขียนเมื่อ 19 ธันวาคม 2007 23:52 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 11:07 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
wat .
สมุด
การจัดการความรู้ก...
การจัดการความรู้ก...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท