ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่อพิธีสารเกียวโตเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2545 และในการประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติให้โครงการที่มีการลงทุนร่วมกับประเทศพัฒนาแล้วในลักษณะ “คาร์บอนเครดิต” หรือการดำเนินงานภายใต้กลไก CDM ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็น กรณีๆ ไป
ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (NCCC) คณะทำงานกำกับการดำเนินงานตามกลไก CDM (NCCDM) และคณะทำงานย่อย CDM สาขาพลังงานและอุตสาหกรรมแล้ว ส่วนสาขาป่าไม้และเกษตรกรรม อยู่ระหว่างการเตรียมการ โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินงานเกี่ยวกับ CDM (NACDM) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการกำหนดนโยบาย มาตรการ และแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนยกร่างหลักเกณฑ์ขั้นตอนการพิจารณาโครงการที่เกี่ยวกับ CDM
เนื่องจาก CDM เป็นกลไกเดียว ที่เกี่ยวข้องกับไทย
- หากเราเตรียมพร้อม และเลือกทำโครงการอย่างชาญฉลาด CDM ก็จะเป็น “ โอกาส ”
- แต่ถ้าเราไม่ฉลาดพอ ขาดข้อมูล ขาดการเตรียมพร้อมด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรองCDM ก็อาจเป็น “วิกฤติ”
“ภาครัฐและเอกชน จะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันทำเพื่อเปลี่ยนวิกฤตภาวะโลกร้อนให้เป็นโอกาสของประเทศ”
รูปแบบโครงการ CDM
Unilateral
ประเทศไทย ทั้งภาครัฐ และ/หรือ เอกชน ลงทุนทำโครงการเองแล้วขาย CERs ให้ประเทศ Annex I หรือขายให้ Brokers
Bilateral
ประเทศ Annex I ลงทุนทำโครงการลด GHGs ร่วมกับประเทศไทยแล้วแบ่ง CERs กันตามข้อตกลง
Multilateral
Annex I หลายประเทศลงขันร่วมกันเป็นเงินกองกลางแล้วทำโครงการผ่าน Multilateral Agencies เช่น
WB, ADB
สืบเนื่องจากโครงการ CDM จะต้องเป็นโครงการที่นำมาซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศเจ้าบ้าน ฉะนั้นโครงการ CDM จะต้องสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย นั่นคือจะต้องมีผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่นโครงการ CDM ประเภทโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล นอกจากประเทศจะมีรายได้จากคาร์บอนเครดิต หรือ CERs แล้ว ยังสามารถลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงไฟฟ้า เป็นการลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ ขณะเดียวกันมลภาวะอันเนื่องมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลก็ลดลง สิ่งแวดล้อมดีขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้างอาชีพ เสริมรายได้เกษตรกร และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนบริเวณใกล้เคียง จึ่งเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสามารถพัฒนาไปได้พร้อมๆ กัน
การให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต
พิธีสารเกียวโตได้ผ่านการรับร่างในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาฯ
สมัยที่ 3 (COP-3) ณ
กรุงเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และได้เปิดให้มีการลงนาม ระหว่างวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2541 ถึ่งวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2542 มีประเทศลงนามรับรองรวม 84 ประเทศ
เพื่อให้พิธีสารเกียวโตมีผลบังคับใช้ จะต้องมีประเทศภาคีอนุสัญญา ฯ
ให้สัตยาบัน (Ratify) หรือให้การยอมรับ (Approval) หรือภาคยานุวัติ (Accession) ไม่น้อยกว่า 55 ประเทศ ซึ่งในจำนวนนั้นจะต้องมีประเทศในภาคผนวกที่ I ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี พ.ศ. 2533 รวมกันไม่ต่ำกว่า 55%
ความล้มเหลวในการอนุวัติตามอนุสัญญาฯ
สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้เนื่องจากแต่ละประเทศพยายามที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศตนโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่น
การดำเนินการตามพันธกรณีโดยไม่มีผลบังคับตามกฎหมายจึงเป็นไปได้ยาก นอกจากนี้
ความล้มเหลวของการดำเนินการยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายและมาตรการในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในแต่ละประเทศ
จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างประเทศที่ร่ำรวยและประเทศที่ยากจนให้มาก
หากประเทศร่ำรวยยังไม่สามารถแบกรับภาระในการดำเนินการตามมาตรการเพื่อให้เกิดการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้ว
ประเทศที่ยากจนจะสามารถดำเนินการได้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน
ผลการศึกษาในรายงานการประเมินฉบับที่ 2 (The Second Assessment Report) ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC)
ได้ยืนยันอีกครั้งว่า
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยมนุษย์เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และมีความจำเป็นที่จะต้องลดการปล่อยโดยเร็วและในปริมาณที่มากพอที่จะทำให้สภาพภูมิอากาศของโลก
ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงจนก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อมนุษย์
จากรายงานแห่งชาติของประเทศภาคีอนุสัญญาฯในภาคผนวกที่ I ซึ่งเสนอต่อที่ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาฯ พบว่า ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับการปล่อย ณ ปี พ.ศ. 2533 ได้ภายในปี พ.ศ. 2553 ตามที่กำหนดพันธกรณีไว้ในอนุสัญญาฯ ที่ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาฯสมัยแรก COP - 1 ณ กรุงเบอร์ลิน จึงตัดสินใจว่าประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ในภาคผนวกที่ I ไม่สามารถดำเนินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามพันธกรณี และปริมาณการลดก๊าซตามพันธกรณีไม่เพียงพอที่จะช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาฯได้ จึงต้องทบทวนพันธกรณีและกำหนดมาตรการที่เข้มข้นมากกว่าที่เป็นอยู่ ดังนั้น ที่ประชุม COP - 1 จึงให้มีการเจรจารอบใหม่ โดยมีเป้าหมายให้กำหนดพันธกรณีที่ละเอียดมากขึ้น โดยแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจที่เรียกว่า Ad Hoc Group on Berlin Mandate (AGBM) ซึ่งมี มิสเตอร์ ราอูล เอสตราดา – โอยุเอลา ( Mr. Raul Estrada- Oyuela ) จากสาธารณรัฐอาร์เจนตินา เป็นประธานในการยกร่างพิธีสารเพื่อใช้ในการเจรจาในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา ฯ สมัยที่ 3 (COP-3) ณ กรุงเกียวโต
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้จัดทำขึ้นในลักษณะที่เป็นกรอบการอนุวัติของประเทศภาคี ภายใต้หลักการของอนุสัญญาฯ โดยเปิดโอกาสให้มีการปรับปรุงพันธกรณีตามที่เหมาะสม จากมาตรา 4 ของอนุสัญญาฯ ที่ระบุถึงพันธกรณีของประเทศภาคีอนุสัญญาฯ สมัยแรก (Conference of the Parties, COP-1) ซึ่งจัดขึ้นที่ กรุงเบอร์ลิน ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เมื่อ ปี พ.ศ. 2538
คณะกรรมการเฉพาะกิจ AGBM ได้ทำงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากการ COP
- 1 โดยจัดการประชุมคณะกรรมการทั้งหมด 8 ครั้ง
การประชุม 4 ครั้งอยู่ในช่วงก่อนการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสมัยที่ 2 (COP-2) อีก 3 ครั้งอยู่ในช่วงก่อน COP-3
และครั้งสุดท้ายได้จัดประชุมในช่วงของการประชุม COP-3 ในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงานที่สำคัญ
ดังนี้
* ตกลงกำหนดการและแนวทางในการทำงานทั้งหมด
*วิเคราะห์และประเมิน “นโยบายและมาตรการ”
ที่ประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ที่พัฒนาแล้วจะสามารถดำเนินการได้หลังจากปี
พ.ศ. 2543 เป็นพันธกรณีเพิ่มเติม
* กำหนดเป้าหมายของพิธีสารที่มีความเป็นไปได้ บนพื้นฐานของการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง
*พิจารณาร่างพิธีสาร โดยมีกลุ่มประเทศต่างๆ เสนอกรอบพิธีสาร เช่น
สหภาพยุโรป (Europena Union) และแนวร่วมประเทศหมู่เกาะเล็ก ๆ
(Alliance of Small Island States, AOSIS, G77 , China) เป็นต้น
การยกร่างพิธีสารเพื่อใช้ในการเจรจานั้น ได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาฯ
คือ
เพื่อให้บรรลุถึงการรักษาระดับความหนาแน่นของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศให้คงที่ในระดับไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมนุษยชาติ
เช่น
ควรบรรลุได้ภายในระยะเวลาที่รวดเร็วพอที่จะให้ระบบนิเวศน์ปรับตัวได้อย่างเหมาะสม
เพื่อให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน
และภายใต้หลักการของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ระบุในมาตรา 3 โดยเฉพาะด้านความเสมอภาคและความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน
( Common but Differentiate Responsibilities )
• พันธกรณีการลดก๊าซเรือนกระจก
พิธีสารเกียวโตกำหนดพันธกรณีให้ประเทศในกลุ่ม Annex I ต้องดำเนินการลดประมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 6 ชนิด คือ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (N2O)
ไฮโดรฟลูโรคาร์บอน (HFCs) เปอร์ฟลูโอโรคาร์บอน(PFCs)
และ ซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอไรด์ (SF6) เฉลี่ยรวมกันไม่ต่ำกว่า 5.2% ของปริมาณการปล่อยเมื่อปี
ค.ศ. 1990 ภายในช่วงปี ค.ศ. 2008 - 2012 ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 3
กลไกยืดหยุ่น (Flexibility Mechanisms) พิธีสารเกียวโตกำหนดกลไกยืดหยุ่น 3 กลไกขึ้นเพื่อให้ประเทศในกลุ่ม Annex I สามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกได้ง่ายขึ้น
1.กลไกการทำโครงการร่วม (Joint Implementation, JI) ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 6 ซึ่งกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้ว สามารถดำเนินโครงการลดประมาณการปล่อยก๊าซเรือกระจกร่วมกันเองระหว่างประเทศในกลุ่ม Annex I ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้เรียกว่า ERUs (Emission Reduction Units)
2.กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism, CDM) ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 12 ซึ่งกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้ว (กลุ่ม Annex I) สามารถดำเนินโครงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร่วมกับประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศในกลุ่ม Non-Annex I ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จะต้องผ่านการรับรอง จึงเรียกว่า CERs (Certified Emission Reduction)
3.กลไกการซื้อขายสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission tranding, ET) ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 17 ซึ่งกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้ว ที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศได้ สามารถซึ้อสิทธิ์การปล่อยจากประเทศในกลุ่ม Annex I ด้วยกันเอง ที่มีสิทธิ์การปล่อยเหลือ (อาจเป็นเครดิตที่หลือจากการทำโครงการ JI และ CDM หรือ สิทธิ์การปล่อยที่เหลือเนื่องจากระบบเศรษฐกิจทำให้ปริมาณการปล่อยในปัจจุบันน้อยกว่าปริมาณการปล่อยเมื่อปีค.ศ. 1990 จึงมีสิทธิ์การปล่อยเหลือพร้อมที่จะขายได้) เรียกสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะซื้อขายกันนี้ว่า AAus (Assigned Amount Units)
ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคพิธีสารเกียวโตเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2545 ในกลุ่มประเทศนอกภาคผนวกที่ 1 ของอนุสัญญาฯ จึงไม่มีพันธกรณีการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามพิธีสารโตเกียว อย่างไรก็ตามประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีความล่อแหลมต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศค่อนข้างสูง ดังนั้น การที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีพิธีสารเกียวโตก็จะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะให้ความร่วมมือกับนานาประเทศ ในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนมีโอกาสที่จะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยใช้เทคโนโลยีที่สะอาด การเรียนรู้ด้านการวิจัยและพัฒนา จากประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ 1 รวมทั้งมีโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีโอกาสในการเข้าร่วมดำเนินโครงการต่างๆ ภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism : CDM) หากได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าการดำเนินโครงการเหล่านั้นจะก่อให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงกับประเทศชาติ
สืบเนื่องจากพิธีสารเกียวโตจะมีผลบังคับใช้ (Entry into Force) ต่อเมื่อมีประเทศต่างๆ ลงนามให้สัตยาบัน (Ratification) ไม่ต่ำกว่า 55 ประเทศ และในบรรดาประเทศที่ลงนามให้สัตยาบัน จะต้องประกอบด้วยประเทศในกลุ่มภาคผนวกที่ 1 ซึ่งมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ ปี ค.ศ. 1990 รวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 55% แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ. ปี ค.ศ. 1990 ประมาณ 36% ของปริมาณการปล่อยทั่วโลก ปฏิเสธการลงนามให้สัตยาบัน ส่งผลให้การมีผลบังคับใช้ของพิธีสารเกียวโตล่าช้าจนกระทั่ง ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2547 สหภาพโซเวียตซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ ปีค.ศ. 1990 17.4% ได้ลงนามให้สัตยาบันพิธีสารเกียวโต ส่งผลให้พิธีสารเกียวโตมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548 นี้ขณะเดียวกันการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดโลกเริ่มคึกคักขึ้นมาก สำหรับประเทศไทยก็จะมีโอกาสเข้าร่วมทำโครงการ CDM มากขึ้นเนื่องจากเริ่มมีตลาดคาร์บอนเครดิตที่แท้จริงแล้ว
อนุสัญญา UNFCCC (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC)
สืบเนื่องมาจากประชาคมโลกตระหนักถึงปัญหาภาวะโลกร้อน
หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ซึ่งอาจเป็นภัยอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติในอนาคต
การลดปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องร่วมมือกันระหว่างประเทศต่างๆทั่วโลก ไม่สามารถดำเนินการโดยประเทศใด
ประเทศหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้โดยลำพัง ดังนั้นผู้แทนประเทศต่างๆ
จากทั่วโลกกว่า 150 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยจึงได้ร่วมกันลงนามรับรองอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ณ กรุงริโอ เดอ จาเนโร ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เมื่อเดือนมิถุนายน ปีพ.ศ.2535
(ค.ศ. 1992) โดยมีผู้แทนรัฐบาล 154 ประเทศ รวมทั้งสหภาพยุโรปได้ร่วมลงนามรับรองอนุสัญญาฯดังกล่าว จนกระทั่งกำหนดวันสุดท้ายของการลงนามมีประเทศลงนามรับรองรวมทั้งสิ้น 165 ประเทศ
มีเป้าหมายสูงสุดอนุสัญญาฯ คือ เพื่อรักษาระดับความหนาแน่นของก๊าซเรือนกระจกที่สะสมอยู่ในบรรยากาศ
ให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และระบบภูมิอากาศของโลก และกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศในกลุ่ม Annex I (กลุ่มประเทศภาคผนวก 1 ของอนุสัญญาฯ)
ทำการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กลับอยู่ในระดับการปล่อยเมื่อปี ค.ศ. 1990
การมีผลบังคับใช้ของอนุสัญญา UNTCCC
อนุสัญญาฯ กำหนดไว้ว่าให้มีผลบังคับใช้ภายใน 90 วันหลังจากประเทศที่ 50 ให้สัตยาบัน ยอมรับ เห็นชอบหรือเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีอนุสัญญาฯ ในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เป็นวันที่มีประเทศต่างๆ ให้สัตยาบันครบ 50 ประเทศ ส่งผลให้อนุสัญญา ฯ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2537 และหลังจากนั้นอีก 6 เดือน ประเทศภาคีอนุสัญญาฯที่เป็นประเทศ ในกลุ่ม Annex I จะต้องเริ่มส่งรายงานแห่งชาติ (National Communication) เพื่อแสดงถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะเดียวกัน โดย INC/FCCC ได้จัดประชุมพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับการอนุวัติตามอนุสัญญาฯ เช่น การจัดเตรียมกลไกทางการเงิน การสนับสนุนด้านเทคนิคและการเงินให้กับประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งขั้นตอนและสถาบันที่เกี่ยวข้อง INC/FCCC ได้ยุบเลิกไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 และให้ที่ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาฯ เป็นองค์กรสูงสุดของอนุสัญญา จวบจนวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2543 มีประเทศต่าง ๆ ให้สัตยาบันอนุสัญญาฯ แล้ว 186 ประเทศ
ประชาคมโลกตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างไร
พ.ศ. 2441 นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนชื่อ สวานท์ อาเรนเนียส (Svante Ahrrenius)
ได้เตือนว่าการ
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาจทำให้เกิดภาวะโลกร้อนขึ้นได้ แต่ในขณะนั้นไม่มีคนให้ความสนใจในความคิดเห็นดังกล่าว
พ.ศ. 2521 มีการประชุมสภาพภูมิอากาศครั้งแรก
นักวิทยาศาสตร์เริ่มตื่นตัวสนใจอย่างจริงจัง และ
ตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกเป็นปัญหาใหญ่
และมีผลต่อมนุษย์
ที่ประชุมได้มีปฏิญญาเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ “พินิจพิเคราะห์และป้องกันการกระทำของมนุษยชาติที่ก่อให้เกิดเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ” โดยได้กำหนดจัดตั้ง
แผนสภาพภูมิอากาศ (World Climate Program) ภายใต้ความรับผิดชอบร่วมกันของ
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization) โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations environmental
Programme) และคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์นานาชาติ (International
Council of Scientfic Unions)
พ.ศ.2523 – 2533 มีการจัดประชุมระหว่างประเทศในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อช่วยกระตุ้นให้นานาประเทศตระหนักถึงประเด็นปัญหานี้ ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหลาย รวมถึงผู้กำหนดนโยบาย นักวิทยาศาสตร์ และนักสิ่งแวดล้อม ได้ประชุมพิจารณาประเด็นทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และนโยบายตลอดจนเรียกร้องให้ทั้งโลกดำเนินการร่วมกัน
พ.ศ. 2531 โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก จัดตั้ง
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) เพื่อประเมินความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศและผลกระทบต่าง
ๆ ตลอดจนกลยุทธ์ในการตอบสนองต่อปัญหาดังกล่าว
พ.ศ. 2533 IPCC ได้เสนอ “รายงานการประเมินครั้งที่หนึ่ง (The First Assessment Report)” ซึ่งรายงานนี้ได้ย้ำถึงปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยมนุษย์นั้น คาดว่าเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็ว และมีผลต่อผู้กำหนดนโยบายและสาธารณชนเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังเป็นพื้นฐานในการเจรจาภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเวลาต่อมาด้วย
ในเดือนธันวาคม
พ.ศ. 2533 ที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติมีมติให้เริ่มดำเนินการเจรจา
ร่างอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) และได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อการเจรจาระหว่างรัฐบาลเรียกว่า Intergovernmental Negotiation Committee for Framework Convention on
Climate Change (INC/FCCC) ขึ้นมาเพื่อดำเนินการเจรจาร่างอนุสัญญาฯ
คณะกรรมการ INC/FCCC ได้ประชุมกัน 5 ครั้งระหว่างกุมภาพันธ์
พ.ศ. 2534 ถึง พฤษภาคม 2535
คาร์บอนเครดิต...กำไรอีกต่อของการพัฒนาพลังงานทดแทน
ณ วันนี้ “ภาวะโลกร้อน” หรือ“Global Warming” ถูกโจษขานกันอย่างหนาหู เพราะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาและการดำรงชีวิตของประชากรทั่วทั้งโลก และทุกฝ่ายก็กำลังหาทางบรรเทาปัญหานี้ให้เบาบางลง รวมถึงกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เช่นกันที่พยายามเร่งส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องมากว่า 50 ปี
ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาที่ทุกประเทศกำลังสนับสนุนกิจกรรมที่สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในรูปแบบของการสนับสนุนทางการเงิน หรือที่รู้จักกันในนามของ “คาร์บอนเครดิต” เพื่อให้การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นจริงและเกิดผลทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งการผลิตและใช้พลังงานทดแทนก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ได้รับประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตด้วย
งั้น...เรามาทำความรู้จักกับ คาร์บอนเครดิต กันซักหน่อยแล้วกันนะคะ คาร์บอนเครดิต นั้นก็คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้จากการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด หรือที่เรียกสั้นว่าๆ CDM (Clean Development Mechanism) ซึ่งคุณๆรู้กันมั้ยคะว่า กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเป็นตลาดที่ต้องการคาร์บอนเครดิตสูงมาก เนื่องจากมีพันธกรณีที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระหว่างปี 2551 – 2555 ตามที่ระบุไว้ในพิธีสารเกียวโต
แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไร?...สำหรับประเทศไทยได้ร่วมให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต โดยอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ถูกบังคับให้มีพันธกรณีลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่สามารถเข้าร่วมในตลาดคาร์บอนเครดิตได้ในฐานะผู้ผลิตคาร์บอนเครดิตจากการดำเนินโครงการ CDM สำหรับราคาซื้อขายนั้นตามแต่ตกลงระหว่างผู้ซื้อ - ขาย โดยจะดูจากความแน่นอนของปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ และต้นทุนของเทคโนโลยีที่ใช้ในการดำเนินโครงการ
และในขณะนี้ พพ. ได้ให้การสนับสนุนโครงการผลิตและใช้พลังงานทดแทน ซึ่งเข้าข่ายประเภทของโครงการ CDM แล้ว โดยได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทยแล้วจำนวน 7 โครงการ และยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา จึงนับว่าเป็นโอกาสดีของประเทศที่จะได้รับผลประโยชน์จากการลดก๊าซเรือนกระจก และยังสร้างรายได้เข้าประเทศจากการขายคาร์บอนเครดิตของผู้ดำเนินโครงการด้านพลังงานอีกด้วย หากสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ สำนักวิจัย ค้นคว้าพลังงาน (พพ.) โทร. 0 2211 1853