วันพฤหัสบดีที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ทางท่ารองนายกไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ได้เชิญหน่วยงานภาครัฐ ทั้งจาก กระทรวงวัฒนธรรม (รองปลัดกระทรวง ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม สวช) กระทรวงมหาดไทย (หัวหน้ากองนิติการ) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ นักวิชาการ เข้าร่วมหารือ เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาร้านเกมคาเฟ่ ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ สำหรับเด็ก เยาวชนและสังคม
ที่ประชุมได้เร่มต้นวิเคราะห์สถานการณ์ของปัญหา โดยมองว่าสถานการณ์ของปัญหาด้านเกมคาเฟ่ อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ มีสถานการ์ของปัญหาสำคัญอยู่ ๗ ประการ
ประการที่ ๑ ด้านสภาพและพฤติกรรมของการใช้งาน
· เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปีเป็นกลุ่มที่ใช้บริการร้านอินเทอร์เน็ตมากที่สุด[1]
· เป็นการใช้งานกว่า 80% เป็นการใช้เพื่อความบันเทิงโดยเฉพาะการเล่นเกมส์ ซึ่งเมื่อเทียบกับการใช้งานเพื่อการค้นคว้าหาความรู้หรือทำงานเพียงไม่ถึง 20%
· ปัญหาเด็กติดเกมส์ซึ่งเด็กไม่สามารถควบคุมเวลาในการเล่นเกมส์และทำกิจกรรมอย่างอื่นได้อย่างเหมาะสม
· การขายของในเกมส์ด้วยเงินจริง เด็กและเยาวชนต้องใช้เวลาในการเล่นเพื่อสะสมความมั่งคั่งในเกมเพื่อนำมาขายให้กับผู้เล่นคนอื่นด้วยเงินจริง
ประการที่ ๒ การประกอบการโดยละเมิดต่อบทบัญญัติกฎหมาย โดยที่กฎหมายที่มีผลใช้บังคับกับการประกอบการร้านเกมคาเฟ่ ก็คือ พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.๒๕๓๐ ซึ่งมีผลให้การขอนุญาตประกอบการ ประเภทฉาย (อาศัยอำนาจตาม มาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติฯ) จะต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ อีกทั้ง เกณฑ์หรือเงื่อนไขในอารออบใบอนุญาต ตาม ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยแนวทางการปฏิบัติในการกำหนดเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตของนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยเฉพาะโดยเฉพาะ
· การประกอบการนอกเหนือเวลาเปิด – ปิด สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาต
· การอนุญาตให้เด็ก เยาวชน สามารถเข้าใช้บริการนอกเหนือเวลาที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ ช่วงเวลาก่อน ๑๔.๐๐ น. ของวันจันทร์ถึงวันศุกร์ยกเว้นวันหยุดราชการ
· การให้เด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี ใช้บริการหลังเวลา ๒๒.๐๐ น. ของทุกวัน
· การให้เด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี เล่นเกมคอมพิวเตอร์เกินกว่า ๓ ชั่วโมงต่อวัน
· การจำหน่ายบุหรี่ สารเสพติดทุกชนิด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในสถานที่ให้บริการ
· การมีสื่อลามกอนาจารใดๆ ในสถานที่ให้บริการ
ประการที่ ๓ การขาดระบบการสนับสนุนให้เกิดการส่งเสริมบรรยากาศของการลงทุนประกอบการร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ และ ร้านเกมคาเฟ่ที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่ต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และ สามารถส่งเสริมการประกอบการที่เป็นรูปธรรม อันที่จริงแล้ว ภาคนโยบายเคยจัดทำโครงการร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่สีขาว แต่เนื่องจากปัญหาความต่อเนื่องและอุปสรรคในด้านมิติการส่งเสริมการประกอบการที่เป็นรูปธรรม ทำให้แนวทางในการสนับสนุนดังกล่าวเกิดความไม่ต่อเนื่อง เป็นผลให้สถานประกอบการที่ประกอบการอย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่สามารถประกอบการได้เท่าเทียมหรือได้สิทธิประโยชน์ที่มากกว่ากับสถานประกอบการทั่วไป
ประการที่ ๔ การขาดระบบการตรวจร้านที่มีประสิทธิภาพและทั่วถึง เนื่องจากปริมาณร้านเกมคาเฟ่ และร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่เปิดกิจการใหม่ในทุกวัน ประกอบการจำนวนของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจร้านที่มี่จำนวนน้อยทำให้เกิดปัญหาด้านการออกตรวจร้านเกมคาเฟ่อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ เป็นสาเหตุให้ร้านเกมคาเฟ่บางส่วนสามารถหลีกเลี่ยงข้อบังคับทางกฎหมายในการประกอบการได้
ประการที่ ๕ การขาดการสร้างความเข้มแข็งและมีการมีส่วนร่วมให้กับชุมชน สังคม โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน และครอบครัว อีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในปัจจุบันพบว่า สังคมไทยยังขาดการสร้างความเข้าใจให้กับเด็ก เยาวชน และครอบครัวในปัญหาที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการเล่นเกม การเลียนแบบพฤติกรรมในเกม ตลอดจนการใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นเกม อีกทั้ง การสร้างระบบการมีส่วนร่วมของชุมชนในการร้วมไปเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าไปตรวจเยี่ยมสถานประกอบการในชุมชนของตนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทำให้สถานประกอบการเป็นพื้นที่ที่แปลกแยกจากสังคมโดยทั่วไป กล่าวคือ กลายเป็นพื้นที่เฉพาะของเด็กเยาวชนในอีกหนึ่งกลุ่มเท่านั้น
ประการที่ ๕ การขาดความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมายและนโนบาย พบว่า ผู้ประกอบการนั้นอยู่ในสถานะของ “ผู้ละเมิดกฎหมาย” กล่าวคือ เพื่อผลกำไรสูงสุดในการประกอบการจึงประกอบการโดยละเมิดต่อกฎหมาย เช่น การอนุญาตให้เด็ก เยาวชนอายุต่ำกว่า ๑๘ ปีเข้ามาเล่นภายในร้านก่อนเวลา ๑๔.๐๐ น. และ หลัง ๒๒.๐๐ น.[2] และ ในสถานะของ “เหยื่อ” ของความไม่รู้ในการพิทักษ์สิทธิของตนภายใต้กฎหมาย โดยเฉพาะ การได้รับความคุ้มครองในทางกระบวนการยุติธรรม เช่น การประกันตัว เป็นต้น ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำกระบวนการในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายที่มีผลใช้บังคับในการประกอบการทั้งในเรื่องของการกำกับดูแล การปราบปรามในกรณีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติทางกฎหมาย กฎหมายที่เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความ และ กฎหมายที่เกี่ยวกับการสนับสนุนหรือส่งเสริม
ประการที่ ๖ การขาดการสร้างความเป็นเอกภาพของกฎหมายที่ผลใช้บังคับอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของการกำหนดเวลาเปิด-ปิด ของสถานประกอบการในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน โดยอาศัยอำนาจตาม มาตรา ๒๐ วรรรค ๒ แห่งพระราชบัญญัติ ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ในเรื่องของการอนุญาตให้ฉายเทปและวัสดุโทรทัศน์ เป็นอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ประกอบกับมาตรา ๓๙ แห่ง พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ ทำให้การกำหนดเวลาเปิด – ปิด สถานประกอบการประเภทให้บริการฉายวัสดุเทปโทรทัศน์เป็นอำนาจดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งพบว่าปัญหาที่สำคัญก็คือ การขาดการกำหนดเงื่อนไขที่เป็นเอกภาพในการกำหนดเรื่องเงื่อนเวลาในการประกอบการ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างความเป็นเอกภาพที่ชัดเจนในประเด็นเรื่องเงื่อนเวลาในการกำหนดเวลาเปิด ปิด ของสถานการประกอบการ
ในขณะเดียวกัน ระเบียบกระทรวงมหาดไทยเรื่องของการกำหนดช่วงเวลาห้ามไม่ให้เด็ก เยาวชน อายุตำกว่า ๑๘ ปีเข้ามาใช้บริการในช่วงเวลาก่อน ๑๔.๐๐ น. ในช่วงวันปิดภาคเรียน ดูเหมือนว่าจะเป็นการกำหนดที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมย์ของการจัดทำระเบียบกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ เพราะเป้าหมายหรือเจตนารมย์ของระเบียบนี้มุ่งเน้นการป้องกันเด็กไม่ได้หนีเรียนหนังสือมาเล่นเกมจนเสียการเรียน
ประการที่ ๗ การขาดระบบการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ ในกรณีของการประกอบการโดยฝ่าฝืนต่อ พระราชบัญญัติฯ เช่น การเปิดเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด การอนุญาตให้เด็ก เยาวชนอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี เข้ามาใช้บริการนอกเหนือเวลาที่กฎหมายกำหนด จากสภาพข้อเท็จจริงพบว่า ยังไม่มีการดำเนินการกับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความเห็น