รักแห่งสยาม รักของคนทุกคน


The Love of Siam

ผมได้มีโอกาสไปดู รักแห่งสยาม มาเมื่อไม่กี่วันมานี้ ตามกระแสที่มีคนเอามาบอกว่า หักมุม ๆ  ก็เข้าไปดูแล้วไม่ผิดหวังจริง ๆ ผู้ที่อ่าน blog นี้ก็คงจะได้อ่าน บทวิจารณ์ภาพยนตร์กันไปแล้ว

ผมมีโอกาสเข้าโรงหนังน้อยมาก แต่ทุกครั้งที่เข้าก็จะได้ความเต็มตื้นออกมาด้วยเสมอ

ผมเลยวัย "มิว" กับ "โต้ง" มาเยอะพอสมควร มองย้อนกลับไปถึงตัวเองเมื่อหลายสิบปีก่อน เรื่องความรักพวกนี้ยังไม่เข้ามากวนใจผมเลย อาจจะเพราะบ้านเมือง สภาพสังคม สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป กระบวนการ socialization ในสมัยก่อนกับสมัยนี้ก็แตกต่างกัน  ตอนนั้นผมยังเป็น "เด็กเรียน" อยู่เลย สมัยนั้นผมแสวงหาอะไรที่เป็น "นามธรรม" มากกว่า นึกแล้วก็ไม่เสียดาย เพราะถ้าสมัยนั้น ลุ่มหลงกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แบบเดี๋ยวนี้ก็คงจะแย่

ย้อนมาที่หนัง .. ดาราที่ไม่ต้องเอ่ยนามก็ทำหน้าที่ได้ดีกันทุก ๆ คน background เพลง set มาอย่างลงตัว เหมือนว่าถ้าผิดไปจากนี้ ความงดงามแบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้น

มีประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่อง ชายรักชาย ที่หลายคน "รับไม่ได้" เมื่อเห็นเด็กชายคนหนึ่ง เอามือโอบเพื่อนไว้ จะด้วยความรู้สึกใดก็ตามแต่ หรือฉากที่ทั้งสอง จูบกันในสวนหลังบ้าน ถามว่าถ้าหนังไม่นำเสนอ เด็ก ๆ ทั่วไป สามารถรับรู้ปรากฏการณ์เหล่านี้ได้หรือไม่ ?  ปรากฏการณ์เหล่านี้ ควรจะถูกอธิบายอย่างไรกับเด็ก ๆ ความจริงบางอย่างเป็นเรื่องน่าเจ็บปวด (เหมือนกับในหนัง ที่ กร - สุนีย์ - โต้ง ต้องยอมรับความจริงว่า แตงจะไม่กลับมาอีกแล้ว และจูนก็ไม่ใช่แตง) การปฏิเสธว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีอยู่จริง ก็เหมือนกับเรายืนหลับตาอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ แล้วบอกว่า ดวงอาทิตย์ไม่มี แต่แท้จริงแล้วเรากลับสัมผัส ความร้อน ความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ตลอดเวลา 

สิ่งที่เราควรจะเก็บเกี่ยวเอาไปจากหนังเรื่องนี้คือ มิติแห่งความรัก ในหลาย ๆ มุม ความรักที่ภรรยาให้สามี (ซึ่งบรรทัดฐานทางสังคมคาดหมายแบบนั้น; และกับฉากสุนีย์กินไข่พะโล้ ภาพฉายที่ช้อนกำลังตัดแบ่งไข่พะโล้ ที่มีนัยยะซ่อนอย่างสำคัญ) ความรักที่เพื่อนให้กับเพื่อน ความรักระหว่างพี่น้อง ความรักระหว่างคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน (จูนกับกร)  เราทุกคนถูกยึดโยงไว้ด้วยความรักหลาย ๆ แบบ ประโยคอันลือลั่น คือ "ถึงแม้เราจะเป็นแฟนกับนายไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักนาย"  บางครั้งคนเราก็ทำอะไรตามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้มากนัก .. แต่ก็ไม่แน่ เมื่อ 2 คนนี้โตขึ้น เขาอาจจะปรับตัวที่จะ "รักกัน" ได้โดยไม่ทำให้สัมพันธภาพกับคนรอบ ๆ เสียไป

ถึงแม้ว่าตัวละครในเรื่องจะมีอดีตที่เจ็บปวด แต่ชีวิตก็คงจะต้องดำเนินต่อไป ชีวิตไม่มีอะไรที่ราบเรียบ ริ้วรอยของกาลเวลา จะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น  

 

หมายเลขบันทึก: 150394เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2007 08:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

รู้สึกดีใจนะ ที่มีคนที่คิดได้แบบนี้ ในสังคมเราต้องยอมรับว่าเป็นการเปิดกว้างสำหรับการยอมรับในเรื่องนี้มากขึ้น ตั้งแต่เรื่อง Bangkok love story(เพื่อน...กูรักมึงว่ะ)

สำหรับเรื่อง รักแห่งสยาม ในแง่มุมหลาย ๆมุม ตั้งแต่ มิวเองในวัยเด็กที่ต้องอ้างว้าง..เหงา....เอาแต่ใจ มีอาม่าคอยเป็นเพื่อน จากdialogที่ว่า "เพื่อนอยากจะเก่งเหมือนอากงไหมล่ะ"  "ไม่รู้จะเก่งไปทำไม" "ก็ถ้าบางครั้ง เราอาจใช้มันบอกอะไร กับใครบางคน"ซึ่งมิวเองก็ใช้มันบอกรักและความรู้สึกที่มีกับโต้ง และเป็นความลงตัวที่ไม่มากมาย ไม่น้อยไป ของบทเพลงทุกบทเพลง ถ้ามีโอกาสพี่เองน่าจะมีไว้นะ พูดง่าย ๆได้เลยว่า ลงตัวสุด ๆ เหมาะสำหรับหนังรักแห่งปีเลยนะ

 

 

วันที่ 17 นี้แล้วครับผม ที่จะได้ไปชม รักแห่งสยาม เวอร์ชั่น 3 ชั่วโมง 40 นาที (เลขน่าเอาไปแทงหวยจริง ๆ) โดยผมได้รับความกรุณา น้ำใจอันดีมาก ๆ จากเพื่อนที่พิเศษสุดของผม อุตส่าห์เข้าคิวรอ แถมยังซื้อ stand มาฝากอีกต่างหาก สำหรับเป็นของขวัญวันเกิดอีกต่างหาก ..

ถึงจะเคยดูมาแล้ว แต่รอบนี้ตื่นเต้นมาก เพราะจะได้เห็นในเวอร์ชั่นที่ผู้กำกับไม่เคยปล่อยออกมา ข่าวว่าคนเยอะมาก ๆ  เฮ้อไม่อยากจะบอกว่า ถ้าเป็นหนังรักจริง ๆ แบบไม่มีเรื่อง เกย์ ๆ มาเกี่ยว รูปการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ก็ไม่สนใจอยู่ดี เพราะ ความรู้สึกในตัวเราเองในเรื่อง ไม่รู้สินะ มันตรงใจมาก ๆ คราวนี้ จะเสียน้ำตาอีกสักกี่หยดหนอ ???  

 

ไปดูมาแล้วกับ "รักแห่งสยาม" เวอร์ชั่น 3 ชั่วโมง 40 นาที ขอบอกว่า เป็นความประทับใจแบบขีดสุดจริง ๆ ไม่มีการร้องไห้เลยสักแอะ อาจจะเพราะเป็นความเต็มตื้น แต่ข้อสงสัยต่าง ๆ ที่เคยมีก็มลายหายไปกับเวอร์ชั่นนี้ โดยเฉพาะฉากที่หญิง เข้าไปอ้อนวอนคนขายตุ๊กตาไม้ ให้ขายเฉพาะส่วนจมูก หญิงแทบจะลงไปกราบกรานคนขาย ตอนแรกผมงง มาเวอร์ชั่นนี้ผมเข้าใจแล้วว่า หญิงรู้ว่าโต้งอยากได้ โต้งอยากเอาไปให้มิว ซึ่งก็คือ คนที่หญิงรัก สิ่งที่พอจะทำได้คือ ให้โต้งนี่แหละ เป็นตัวแทน ส่งผ่านความรู้สึกจากหญิงไปยังมิว เรียกว่า win-win situation จริง ๆ หญิงสมปรารถนา ที่จะให้กับคนที่รัก โต้งก็ได้ของเอาไปให้มิว ..

ความรักทำไมมันถึงได้เป็นทั้งเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี และน่าขมขื่นใจได้ในเวลาเดียวกัน ..

deleted scene ยอมรับว่า (spoiled เล็กน้อย) มะเดี่ยว ทำได้ละเมียด เน้นความรู้สึก อารมณ์ ดีมาก ฉากที่สินจัย ร้องไห้ ก็เป็น step เป็นขั้นเป้นตอนดี .. ฉากที่อาม่าเสีย มิวตอนเด็กอาจจะถ่ายอารมณ์ได้ไม่ดีเท่าไร (แต่อาจจะเป็นความตั้งใจ) แต่แววตาอาม่ากินขาด มิวบอกอาม่าว่ากลัว เราได้รับรู้ถึงความกลัว ที่เข้ามาในหัวใจของเด็กชายเป็นครั้งแรก

ไม่รู้สินะครับ ผมว่าเวอร์ชั่นเต็มก็เป็นอะไรที่ดี ยกเว้นบาง scene ที่มีคำพูดเฉพาะกลุ่มไปสักหน่อย (ไม่บอกดีกว่า ว่าอะไร)

ไม่ลืมที่จะขอบคุณ "เพื่อนที่พิเศษสุด" ของผม ที่เสียสละเวลาไปซื้อตั๋วให้ ช่วยทำให้ความปรารถนาของผมสัมฤทธิ์ผล เพราะผมเองก็ไม่แน่ใจจริง ๆ ว่า ก่อนผมตายจะได้ดูหนังที่มันกระแทกใจผมเหลือเกิน แบบนี้..อีกมั้ย ???

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท