คนเรามีเสื้อสวมใส่เพื่อป้องกันอันตราย คุ้มกันร่างกายให้อบอุ่นปราศจากภัยอันตรายมาเบียดเบียน พร้อมๆกันก็ทำให้ร่างกายสวยงามไม่เปลือยโป๊ให้ผู้อื่นเห็นส่วนที่ไม่พึงประสงค์ที่จะอวดเพราะมันน่าเกลี๊ยด..น่าเกลียด ด้วยเหตุนี้เองเมื่อมีวิญญาณคอยปกป้องคุ้มครองหมู่บ้าน หรือ เมืองจึงเกิดคำว่าผีเสื้อบ้านเสื้อเมือง
ในสมัยก่อนคนเรายังไม่นับถือศาสนา ผู้คนต้องพึ่งพาอาศัยวิญญาณหรือผีที่เชื่อว่าเป็นผีที่ดีคอยปกป้องคุ้มครองผู้คน เมื่อมีความเชื่อดังกล่าว หลังจากตั้งหมู่บ้านหรือตั้งเมืองเรียบร้อยแล้วผู้คนจึงร่วมกันสร้างหอผีเสื้อบ้านให้อยู่ด้านทิศหัวบ้านหรือทิศเหนือ และทำการเชิญเทวาอารักษ์ที่มีดวงวิญญาณอยู่ใกล้ๆขึ้นสิงสู่อยู่บนหอนั้น ร่วมกันกำหนดเวลาที่จะทำการบูชา เช่น ในวันปากปี๋ของเทศกาลสงกรานต์ เป็นต้น เรียกกันว่า ไหว้สาบูชาบ้านประจำปี ลูกบ้านที่ไปอยู่ถิ่นไกลก็จะกลับมาร่วมกันทำพิธีเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ร่วมกันพัฒนาหมู่บ้าน
หากลูกบ้านจะออกจากบ้านไปทำมาหากินถิ่นไกล หรือลูกบ้านจะออกจากหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่น ก็จะขอให้ตั้งเข้า(ผู้ดูแลและทำพิธี)ไปบอกกล่าวให้ผู้ที่จะออกจากหมู่บ้านให้ไปดีมีสุข
ในรูปแบบของรูปธรรมภายในหมู่บ้านมักจะมีเจ้าทรงคือวิญญาณที่อยู่ในหอจะเข้าทรงผู้คนในหมู่บ้านที่เรียกกันว่า "ม้าขี่" เป็นสื่อกลางให้ลูกบ้านพบกับผีเสื้อบ้านอาจมีชื่อ เช่น เจ้าหน้อย เจ้าข้อมือเหล็ก เป็นต้น เมื่อมีการเข้าทรงเจ้าพ่อผีเสื้อบ้านกับลูกบ้านที่ต้องการปรึกษาก็เจารจากันไปจนหมดสิ้นความต้องการ
เช่นเดียวกันกับผีเสื้อเมืองหากสร้างเมืองเสร็จก็มีการสร้างหอผีเสื้อเมืองอัญเชิญเทวดาหรือดวงวิญญาณของเจ้าเมืองที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วขึ้นมาสถิตในหอเสื้อเมือง ด้วยความเชื่อว่าดวงพระวิญญาณของเจ้าเมืองยังห่วงใยคอยปกป้องดูแลชาวเมืองอย่างนิรันดร์
เมื่อมีหอเสื้อบ้านเสือเมืองก็ต้องมีการประกอบพิธีกรรมตามแต่ละถิ่นที่จะกำหนดกันไป คำว่าหอเสื้อหรือหอผีเสื้อบ้านเสื้อเมืองก็สรุปได้ดังแลเนอ.....หมู่เฮา
ผีเสื้อไม่มีความเกี่ยวข้องกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ค่ะ แล้วทำไมถึงมีคำว่า เสื้อ เพราะพวกคนกลุ่มตระกูลไทลาวตั้งแต่โบราณก่อนพุทธศาสนาจะเข้ามา พวกเรามีความเชื่อ นับถือผี ผีฟ้าแถน ผีป่าผีดง ผีบ้านผีเมือง ผีเชื้อบรรพชน และผีเสื่อนี่แหละคือผืเชื้อ คนลาวจะเรียกผีเซื้อ ซึ่งคำว่าเซื้อตามภาษาลาวจะออหเสียงว่า เซื่อ หรือ เสื้อ ถ้าเขียนภาษาไทยเป็น เชื้อ ที่ตรงกับความหมายดั้งเดิม แต่จะออกเสียงไม่ตรงกับชาวบ้านชาวเมืองที่พูดกันอย่างฝังแน่นว่า เสื้อหรือ เซื่อ ดังนั้น ภาษาเขียนของไทยจึงเขียนตามเสียงที่พูดเป็น เสื้อ นานไปคนไทยจึงลืมความหมายเดิมของคำว่า เชื้อ แต่เอาไปโยงใส่กับคำ เสื้อผ้า เสีย ทบทวนอีกครั้ง คนลาวยังพูดและเขียนแบบดั้งเดิมและตรงกับความหมายว่า ผีเซื้อ(ผีเชื้อ) ซึ่งออกเสียงว่า ผืเสื้อ ค่ะ