โครงการพัฒนาเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคม ก่อเกิดขึ้นจากแนวคิดของนักวิชาการ ม.ทักษิณ เพื่อสร้างและเปิดพื้นที่ทางวิชาการในมหาวิทยาลัยและนักพัฒนาเอกชนได้ร่วมกันศึกษาระดมความเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น วิเคราะห์สถานการณ์ทางสังคมและร่วมกันกำหนดบทบาทที่เหมาะสมต่อสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งร่วมกันศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการจัดตั้งเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคม เพื่อนำข้อสรุปไปเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
เวทีนี้เลือกหยิบยกวรรณกรรมมาทบทวนความรู้การทำงานของปัญญาชนเพื่อสังคมจากแนวคิดของนักการศึกษา Paolo Freire(เปาโล แฟรร์) และนักคิด อันโตนิโอ กรัมชี Paolo Freire คิดว่าคนต้องมีจิตสำนึกจึงจะเกิดจินตนาการ ซึ่งการปลุกจิตสำนึกไม่จำกัดเพียงปัจเจกบุคคล แต่ดำเนินโดยพฤติกรรมรวมหมู่ เชื่อว่าการทำกิจกรรมทางสังคมไม่สามารถทำเป็นปัจเจกได้ การสร้างจิตสำนึกสามารถสร้างโดยการปฏิบัติจริงทางสังคม กระทำโดยการสนทนา ชุมชนมักถูกกดขี่ เอารัดเอาเปรียบเรียกว่า “วัฒนธรรมแห่งความเงียบงัน” ถูกทำให้ไม่สามารถแสดงตัวตนออกมาได้ ถูกกีดกันทางกระบวนการ การหลุดพ้นจากการถูกกดขี่สามารถทำได้ด้วยการ 1)การสนทนา 2)การปลุกจิตสำนึก 3)การเผชิญปัญหา อันโตนิโอ กรัมชี เชื่อว่ากรรมกรไม่ได้มีจิตสำนึกทางชนชั้นทั้งที่ถูกกดขี่เนื่องจากรัฐมีวิธีการกดขี่ที่แยบยล รัฐทำหน้าที่ 2 ด้าน คือ ด้านแรก คือ ปราบปราม โดยใช้อาวุธ อำนาจ ด้านที่สอง คือ ครอบงำ เป็นการลดทอนปัญหา ผ่านกลไก การศึกษา วัฒนธรรมสังคม อุดมการณ์ เมื่อถูกครอบงำก็มีจิตสำนึกที่ผิดพลาด (เชื่อว่าเป็น “ความจนแต่ปางก่อน จน-เครียด-กินเหล้า” หรือเข้าข้างนายทุน) สามารถแก้ปัญหาด้วยการสร้างความเป็นใหญ่เพื่อช่วงชิงอุดมการณ์ให้สังคมยอมรับ ทำโดยกลุ่มทางประวัติศาสตร์ซึ่งมีทั้ง กรรมกร ชาวไร่ชาวนา ชนชั้นกลาง คนยากจนกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งต้องมีคนเชื่อมกลุ่มประวัติศาสตร์ อันได้แก่ ปัญญาชนจารีต และปัญญาชนของชนชั้น
โครงการนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2550 ณ ม.ราชภัฎนครศรีธรรมราช มีผู้เข้าร่วมจาก ม.ทักษิณ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ม.ราชภัฏนครศรีฯ วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคใต้ ม.วลัยลักษณ์ พรรคศิลปิน
มีโอกาสเข้าร่วมงานเพียงวันที่ 1 วันเดียว ได้รับฟังความเห็นถึงแนวปฏิบัติของเครือข่ายนักวิชาการฯ จากวงและเห็นด้วยกับความเห็นของอาจารย์วิเชียร จากม.ราชภัฏนครศรีธรรมราช ถึงการร่วมงานของนักวิชาการที่เป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษา หากให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต้องผลักดันให้งานสังคมเป็นส่วนหนึ่งของงานสอนให้ได้
จากประสบการณ์งานของตนเองต่อสังคม ขอสะท้อนภาพปัจจุบันของสังคม หากแบ่งประเภทสังคมตามลักษณะความสัมพันธ์ของสมาชิก ตนเองมีโอกาสทำงานที่คลุกคลีกับสังคมปฐมภูมิ ที่มีความเป็นอยู่เรียบง่าย ประกอบอาชีพเกษตรกรรม สมาชิกในสังคมรู้จักกันดี ซึ่งตนเองคุ้นชินกับการใช้คำว่า ชุมชน มากกว่า (ไม่มั่นใจว่านิยามของตนเองถูกต้องหรือไม่?) ชุมชนเองก็มีพฤติกรรมรวมหมู่เช่นกัน มีทั้งการรวมหมู่แบบคล้อยตามแรงกระแทกจากภายนอก เป็นการรวมตัวตามเงื่อนไขการให้เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันเป็นการรวมตัวกันเพียงชั่วครั้งคราว และแบบเรียนรู้(ต่อสู้)กับแรงกระแทกจากภายนอก กลุ่มนี้เป็นการรวมตัวที่สอดแทรกการเรียนรู้ให้สมาชิกในกลุ่มดึงองค์ความรู้ในตัวเองมาใช้ให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงและความเป็นไปของสิ่งที่มาปะทะจากภายนอก รูปแบบของกลุ่มแบบนี้เรียก องค์กรภาคประชาชน ที่ตนเองมีโอกาสติดตามสถานการณ์เป็นการก่อเกิดจากการรวมตัวของคนในระดับหมู่บ้าน และเชื่อมโยงกลุ่มอุดมการณ์เดียวกันเพื่อการช่วยเหลือและพลังการต่อรองกับหน่วยงานภายนอกที่มากขึ้น ในรูปของเครือข่ายระดับอำเภอ หรือจังหวัด รูปแบบองค์กรที่ตนเองติดตามเป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีแนวคิดต่อสู้กับความยากจนด้วยการสร้างวินัย ศีลธรรม ความรู้เท่าทันเหตุการณ์ภายนอกให้แก่ตนเองและเพื่อนร่วมชุมชน ก่อเกิดเป็นกลุ่มสัจจะ(กิจกรรมการเงินและสวัสดิการ) ที่เป็นเครื่องมือนำคนในชุมชนมารวมกัน ใช้กฏ/ระเบียบของกลุ่มกำหนดให้ทุกคนหรือตัวแทนครัวเรือนละ 1 คนมาฝากเงินด้วยตนเองทุกเดือน เป็นอุบายให้ทุกคนมาร่วมแลกเปลี่ยนปัญหา ความรู้ ซึ่งกันและกัน กำหนดให้ตัวแทนสมาชิกของกลุ่มเป็นกรรมการ และใช้ความเห็นของสมาชิกทุกคนในการกำหนดระเบียบ/ข้อบังคับของกลุ่ม เป็นการฝึกการบริหารงานให้เกิดแก่สมาชิกทุกคน ตัวอย่างของการรวมตัวจากการเริ่มต้นของประชาชนในภาคใต้ ได้แก่ มูลนิธิสวัสดิการภาคประชาชนสงขลา เครือข่ายกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์พัฒนาคุณธรรมครบวงจรชีวิต นครศรีธรรมราช เครือข่ายกลุ่มองค์กรการเงินกาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี เป็นต้น นอกจากนั้นเป็นการรวมตัวที่เริ่มต้นจากการสนับสนุนของภาครัฐ ได้แก่ กองทุนหมู่บ้านซึ่งมีอยู่ในทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ และมีการเชื่อมโยงเพื่อเสริมพลังของกลุ่มเป็นเครือข่ายกองทุนหมู่บ้าน ตัวอย่างในภาคใต้ที่ตนเองติดตามสถานการณ์อยู่ ได้แก่ เครือข่ายกองทุนหมู่บ้านตำบลกะหรอ จ.นครศรีธรรมราช
ปัญหาหนึ่งที่สังคมเช่นนี้ประสบคือ การเข้าถึงแนวคิดกลุ่มของสมาชิกส่วนใหญ่ หรืออาจใช้ความหมายเดียวกับแนวคิดของ Paolo Freire คือขาดการปลุก จิตสำนึก ทำให้ไม่เกิดจินตนาการร่วม การเคลื่อนงานส่วนใหญ่จึงยังคงลื่นไหลได้เพราะบุคคลเพียงกลุ่มน้อย คือ แกนนำกลุ่ม
ความเห็นส่วนตัวคิดว่าเครือข่ายนักวิชาการที่กำลังก่อรูปขึ้นนี้มีวิธีการทำงานอย่างหนึ่งที่สามารถหนุนสังคมปฐมภูมิได้ คือการเชื่อมต่อกับกลุ่ม/เครือข่าย เพราะองค์กรเหล่านี้มีกลไกที่สามารถเชื่อมต่อถึงทั้งในระดับมวลชนไปจนถึงระดับบุคคลได้อย่างทั่วถึงที่สุด
ถ้าจะให้นักวิชาการเพื่อรับใช้สังคมภาคใต้ที่ว่าหันมาสนใจG2K เขียนบันทึกบล็อก พอมีทางจะเป็นไปได้บ้างไม๊ครับ
ขอบคุณครับน้องรัช
เรียนครูนง
การเปิด blog สำหรับเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมเป็นแนวทางหนึ่งที่เวทีมีแนวคิดให้เกิดขึ้นคะ แต่ในทางปฏิบัติเกิดขึ้นหรือยัง เมื่อไหร่นั้น รัชจะหาคำตอบมาให้ครูนงอีกทีหนึ่งคะ
ขอบคุณคะ