ผลกระทบจากการก่อการร้าย
สหรัฐอเมริกากับความมั่นคงแห่งชาติของไทย• การสิ้นสุดของสงครามเย็น ระเบียบโลกใหม่ และระบบขั้วเดียว
|
• การเพิ่มอิทธิพลของ Neo Conservative
- กลุ่ม neo conservative ได้กลับเข้ามามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงด้านการระหว่างประเทศ หลังจากที่กลุ่มแนวคิดนี้มีอิทธิพลลดลงในการกำหนดนโยบายต่างประเทศในช่วงของอดีต ปธน. บุช (ผู้พ่อ) และ ปธน. Clinton รวมทั้งช่วงต้นของ ปธน. Bush ซึ่งสหรัฐฯ ใช้นโยบายการทูตส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีกับรัสเซีย ไม่ได้ให้ความสนับสนุนอย่างพอเพียงต่ออิสราเอล และการมี non-confrontational policy ต่อจีน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่สหรัฐฯ มีหนังสือแสดงความเสียใจกรณีเครื่องบิน EP-3 บินเข้าน่านฟ้าจีนและลงจอดโดยไม่ได้รับอนุญาต และรู้สึกเสียใจอย่างมาก-very sorry-ต่อการสูญเสียนักบินจีน เมื่อเครื่องบินจีนชนกับเครื่องบินสอดแนมสหรัฐฯ เมื่อเดือน ส.ค. 2001) ตลอดจนการลดงบประมาณทางทหาร
- กลุ่ม neo conservative มีแนวคิดมุ่งรักษาผลประโยชน์ ความมั่นคงของสหรัฐฯ เป็นเป้าหมายสูงสุดโดยดำเนินการในทุกวิถีทาง ซึ่งบางครั้งอาจยอมรับกติการะหว่างประเทศหากสนับสนุนผลประโยชน์ของตน แต่ก็พร้อมจะดำเนินการฝ่ายเดียวหากกติกาเหล่านั้นไม่เป็นไปตามที่สหรัฐฯ ต้องการซึ่งจะเห็นได้จากการปฏิบัติการโจมตีอัฟกานิสถานหลังเหตุการณ์ 9/11 และอิรักหลังจากเห็นว่า IAEA ยังไม่พบอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงในอิรัก อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความชอบธรรม (legitimacy) นโยบายเหล่านี้มักถูกนำเสนอต่อสาธารณะในลักษณะหลักนิยมหรือลัทธิ (doctrine)
- เอกสาร National Security Strategy of the United States of America เมื่อเดือน ก.ย. 2002 ถูกกล่าวว่าสะท้อนถึงสิ่งที่เรียกว่า Bush Doctrine สรุปได้ ดังนี้
1. Preemption ให้สหรัฐฯ มีสิทธิโจมตีก่อนหากพบว่ามีการคุกคามต่อความมั่นคงปลอดภัยของสหรัฐฯ
2. Unilateralism สหรัฐฯ จะมีปฏิบัติการทางทหาร หากการดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยพหุภาคีล้มเหลว
3. Strength beyond Challenge สร้างเสริมกำลังทหารของสหรัฐฯ ให้สูงกว่าภัยคุกคาม ซึ่งหมายถึงการดำรงฐานะมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก (ลักษณะเดียวกับในสมัยที่สหราชอาณาจักรขยายอำนาจทาทะเล โดยกำหนดว่ากองเรือสหราชอาณาจักรจะต้องใหญ่กว่า กองเรือของประเทศมหาอำนาจทางทะเลอันดับ 2 และ 3 รวมกัน)
4. Extending Democracy, Liberty, and Security to all Regions สหรัฐฯ เชื่อว่าการส่งเสริมประชาธิปไตยในภูมิภาคต่างๆ จะเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสหรัฐฯ
• ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ หลังการก่อการร้าย 11 กันยายน 2544 ความมั่นคงทางการเมืองการทหาร การต่อต้านการก่อการร้าย
- เพื่อรักษาความมั่นคงของสหรัฐฯ ไม่ให้ภัยคุกคามเข้าถึงผืนแผ่นดินสหรัฐฯ สหรัฐฯ ตระหนักว่าจำเป็นต้องเพิ่มความร่วมมือกับมิตรประเทศมากขึ้น ซึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น สหรัฐฯ เห็นว่ายังคงมีความเสี่ยงจากการขยายตัวของเครือข่ายการก่อการร้าย อาทิ JI และเป็นทางผ่านของการก่อการร้ายเนื่องจากเป็นประเทศเปิด
- การที่ นรม. เดินทางเยือนสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 13-19 ธ.ค. 2541 ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ดีขึ้น โดยสหรัฐฯ ตระหนักถึงมิตรภาพในยามยาก นรม. ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้แสดงความพร้อมที่จะให้ความสนับสนุนสหรัฐฯ และนานาชาติในการต่อสู้กับการก่อการร้าย และการฟื้นฟูอัฟกานิสถาน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
- สหรัฐฯ เพิ่มความร่วมมือกับไทยด้านการต่อต้านการก่อการร้ายมากขึ้น ทั้งในกรอบทวิภาคี และในกรอบ APEC ซึ่งประกอบด้วย Personal Identification Secured Comparison and Evaluation System: PISCES/ Container Security Initiative: CSI /และ ในกรอบ APEC ได้แก่ Advance Passenger Information: API/ Secure Trade in APEC Region (STAR)/ Bangkok/Leam Chabang Efficient and Secure Trade: BEST โดยไทยได้รับประโยชน์จากความร่วมมือดังกล่าวอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การขยายความร่วมมือในด้านนี้ ต้องคำนึงถึงความละเอียดอ่อน การทหาร
- ในด้านการทหาร ไทยได้ส่ง กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ 975 ไทย/อัฟกานิสถาน จำนวน 130 นาย ไปสนับสนุนการบูรณะฟื้นฟูประเทศอัฟกานิสถาน ตามการร้องขอของสหรัฐฯ ระยะเวลาการปฏิบัติภารกิจ 6 เดือน ตั้งแต่ มี.ค. - ก.ย. 2546 ปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมท่าอากาศยานบากรัม และการจัดชุดแพทย์สนับสนุนหน่วยทหารช่างของสหรัฐฯ กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ตลอดจนการจัดชุดแพทย์ร่วมกับหน่วยเกาหลีใต้ ให้การรักษาพยาบาลประชาชนชาวอัฟกานิสถาน บริเวณพื้นที่หมู่บ้านโดยรอบสนามบินบาแกรม และพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย ผลการปฏิบัติงานโดยรวมของหน่วย ต่อมาไทยจัดส่ง กกล.ฉก. 976 443 นาย ไปปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมในเมืองคาบาลาของอิรัก ตั้งแต่เดือน ก.ย. 46- ก.ย. 47 (2 ผลัด) ทั้งนี้ การที่ไทยยังคงปฏิบัติหน้าที่จนครบวาระแม้จะสูญเสียกำลังพล 2 นาย (ธ.ค. 2546) ทำให้สหรัฐฯ มีความซาบซึ้งต่อความมุ่งมั่นของไทยอย่างมาก
- การความร่วมมือดังกล่าวข้างต้นประกอบกับความใกล้ชิดทางทหารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการฝึกซ้อม Cobra Gold (จะครบรอบ 25 ปี ในปี 2006) ทำให้สหรัฐฯ ประกาศมอบสถานะ Major Non NATO Ally (MNNA) ให้แก่ไทยระหว่างการเยือนไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และการเข้าร่วมประชุม APEC 2003 เมื่อเดือน ต.ค. 2546
- เพื่อตอบโต้กับภัยคุกคามรูปแบบใหม่สหรัฐฯ ปธน. บุช ได้ประกาศเมื่อวันที่ ปธน. Bush ทบทวนยุทธศาสตร์การจัดวางกำลังทหาร (US Global Posture Review) โดยจะลดกำลังทหาร 6-7 หมื่นนายทั้งจากยุโรปและเอเชียภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยหันมาพึ่งพาการใช้กองกำลังเคลื่อนที่เร็วขนาดเล็กที่มีความยืดหยุ่นสูงแทน อย่างไรก็ตาม สอท. สหรัฐฯ ได้แจ้งต่อกรมอเมริกาฯ ว่าสหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นในพันธะด้านความมั่นคงที่มีต่อพันธมิตรรวมทั้งไทย
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ อาจส่งผลให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องแสวงหาความร่วมมือจากพันธมิตรมากขึ้น อาทิการขอใช้สิ่งอำนวยความสะดวกทางทหาร หรือ การจัดการฝึกร่วมเพื่อให้สามารถลดกำลังพลในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบสถานะของไทยในภูมิภาคและสถานการณ์ภายในประเทศได้ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
- ไทยกับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดทางเศรษฐกิจ โดยสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย โดยเมื่อปี 2547 การค้ารวมระหว่างกันมีมูลค่า 22,714 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.9 ของการค้าต่างประเทศของไทยทั้งหมด โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 8,302 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2546 ปธน. Bush และ นรม. ได้ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะเจรจาจัดทำ FTA ไทย – สหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2545 ไทยได้ลงนามกรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Framework Agreement - TIFA) กับสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งจากการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศอื่น ๆ เช่น จีนและเม็กซิโกในตลาด สหรัฐฯ สินค้าไทยมีแนวโน้มจะแข่งขันได้ยากขึ้น ไทยจึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำ FTA กับสหรัฐฯ เพื่อรักษาตลาดสหรัฐฯ ตลอดจนขยายตลาดในสินค้าและบริการที่ไทยมีศักยภาพ โดยคาดว่า FTA กับสหรัฐฯ จะช่วยขยายความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจ ในระยะยาว ลดอุปสรรคทางการค้า และดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น
- ในส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปธน. Bush ประกาศนโยบาย Enterprise for ASEAN Initiative เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาการค้ากับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยได้ลงนามความตกลง FTA กับสิงคโปร์และลงนามความตกลง Trade and Investment Framework Agreement (TIFA) หลายประเทศ อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และไทย ซึ่งในส่วนของไทยได้พัฒนาต่อเป็นการเจรจาเพื่อจัดทำความตกลง FTA รวมทั้ง การมี Normal Trade Relation (NTR) กับเวียดนามและกัมพูชาภาวะปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
- ไทยตระหนักดีว่าบทบาทของสหรัฐฯ มีความสำคัญต่อความมั่นคงของไทยและภูมิภาคทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการดำเนินความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ แม้ฝ่ายไทยจะได้รับประโยชน์ อาทิ ในประเด็นการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งถือเป็นปัญหาสากลและเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของไทย แต่ก็ต้องมีความระมัดระวังต่อสถานะของไทยและความสมดุลในภูมิภาค และความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ผ่านมาสหรัฐฯ ยึดมั่นในการดำเนินการแบบ unilateralism อย่างรุนแรง ซึ่งมีอิทธิพลจากกลุ่ม neoconservative ซึ่งทำให้บางครั้งสร้างความกดดันให้กับไทย
- ในภาวะปัจจุบันที่สหรัฐฯ ประสบความสูญเสียในอิรักที่ยังคงยืดเยื้อ โดยยังไม่สามารถหา exit strategy ได้ ซึ่งมีผลกระทบต่อคะแนนความนิยมของ ปธน. Bush ซึ่งยังคงตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง (เหลือ 39% จากที่เคยสูงถึง 90% ภายหลังเหตุการณ์ 11 ก.ย.) ทำให้คณะบริหารของ ปธน. Bush ต้องตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับนานาชาติมากขึ้น โดยไม่อาจใช้นโยบายแข็งกร้าวฝ่ายเดียวได้ต่อไป ซึ่งจะเห็นได้จากการผลักดันการเจรจา 6 ฝ่ายกรณีเกาหลีเหนือก็ต้องได้รับความร่วมมือจากจีน การเจรจาแก้ไขปัญหาตะวันออกกลางที่ต้องได้รับความร่วมมือจากยุโรปและรัสเซีย และแม้กระทั่งการรับมือกับผลกระทบของพายุเฮอริเคน Katrina คณะผู้บริหารสหรัฐฯ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณชนอย่างมากว่าไม่ตอบสนองต่อความช่วยเหลือจากต่างประเทศอย่างพอเพียงและทันท่วงที
- สภาวะการณ์ข้างต้น น่าจะทำให้ไทยดำเนินนโยบายอย่างเป็นอิสระมากขึ้นซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งเสริมความมั่นคงของทั้งสองฝ่าย สหรัฐฯ เองก็มีความเข้าใจสภาพการณ์ของไทยมากขึ้น อาทิ ไม่ได้ขอร้องให้ไทยเข้าร่วมส่ง จนท. ไปในอิรัก การลดแรงกดดันต่อไทยกรณีพม่า การไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ภาคใต้ และการยอมรับอิทธิพลของจีนในภูมิภาค ทั้งนี้ การรักษาระยะความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ น่าจะเป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ มากกว่าที่ไทยจะถูกระบุว่าเป็นฝ่ายสหรัฐฯ ในลักษณะเดียวกับสิงคโปร์หรือญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ความน่าเชื่อถือของไทยในภูมิภาคลดลงและความสามารถเป็นตัวเชื่อมให้กับสหรัฐฯ ก็จะลดลงเช่นกัน
- การพบหารือระหว่าง นรม. กับ ปธน. Bush ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2548 ได้สะท้อนถึงการยอมรับไทยอย่างจริงจังในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยได้ตกลงที่จะจัดทำ Plan of Action ผลักดันให้การเจรจา FTA บรรลุผลในปี 2549 รวมถึงให้มีการหารือยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐฯ ซึ่งได้หารือไปเมื่อวันที่ 7-8 พ.ย. 2548 การดำเนินการเหล่านี้ได้ครอบคลุมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในมิติที่นอกเหนือไปจากประเด็นทางทหาร แต่ครอบคลุมไปยังมิติทางเศรษฐกิจ การสร้างความเข้าใจผ่านการศึกษา การต่อต้านโรคระบาด และการสร้างความมั่นคงของมนุษย์
- แนวโน้มในอนาคตนั้น ยังคงต้องโน้มน้าวให้สหรัฐฯ เห็นความสำคัญที่จะคงบทบาทที่สร้างสรรค์ในภูมิภาคซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายความมั่นคงของโลก โดยไทยสามารถสนับสนุนสหรัฐฯ ในฐานะที่เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างสหรัฐฯ กับภูมิภาค (ไทยเป็น coordinator ระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียน) การผลักดันให้เกิดการพบหารือระหว่าง ปธน. Bush กับผู้นำอาเซียนที่ APEC 2005 ปูซาน เป็นการยืนยันถึงศักยภาพของไทย อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมบทบาทของไทย ควบคู่กับการสร้างสมดุลของอำนาจอื่นในภูมิภาค อาทิ จีน อินเดีย และอาเซียน (ซึ่งได้ประกาศกระชับ คสพ. เป็นหุ้นส่วนที่เพิ่มพูน- Enhanced Partnership เมื่อ 28 ก.ค. 48) จะเป็นการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการดำเนินการนโยบายต่างประเทศของไทยไปในทิศทางส่งเสริมเสถียรภาพมั่นคงของไทยมากที่สุด
ไม่มีความเห็น