แม้ว่า Mordechai Vanunu ได้แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับกระบวนการทางเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่ Machon 2 และท่านยังพูดอีกว่า นักวิทยาศาสตร์ ของอิสราเอลจะมีการทดลองไปเรื่อย ด้วยปรับปรุงและพัฒนา ยูเรเนียมโดยใช้เครื่องแยกสาร ประกอบและเลเซอร์ ดังนั้นการทดลองไม่ต้องประหลาดใจ เพราะเป็นความมุ่งมั่นของอิสราเอล โดยที่จะเก็บข้อมูลต่างๆ มาพัฒนาใหม่ในการวิจัยนิวเคลียร์ ความจริง CIA สามารถที่จะตรวจสอบได้แต่เขาทำเป็นไม่รู้ และเป็นความจำเป็นของอิสราเอลที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งต้องใช้พลังงานเหล่านี้เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการพัฒนา ทำให้นักวิทยาศาสตร์ของอิสราเอลสามารถฝันฝ่าอุปสรรคในการใช้เลเซอร์มาปรับปรุง อาวุธนิวเคลียร์ตัวกำหนดที่ทำให้มียูเรเนียมต้องมีการพัฒนา แต่ทฤษฎีนี้ไม่ได้เชื่อทั้งหมด Mordechai Vanunu ได้รายงานในหนังสือพิมพ์ British Sunday ว่าทหารสังเกตการณ์ของอิสราเอล พวกเขาได้รับความช่วยเหลือ โดยการคลังที่มาจาก กษัตริย์อิหร่าน เพราะว่าอิหร่านมีการพัฒนาจรวจที่มีประสิทธิภาพในด้านหัวรบนิวเคลียร์ และผู้สังเกตการณ์ของอิสราเอลได้รายงานอีกว่าเอกสารลึกลับต่างๆซึ่งเอามาโดยนักเรียนอีราเนียนจากคณะตัวแทนซื้อขายของอิสราเอลใน Teharan พวกเขาทดลองมานานตั้งแต่ ปี 1977 ซึ่งเป็นต้นแบบให้กับอิสราเอล ในการปรับปรุง Jericho เป็นจรวจที่มีประสิทธภาพในด้านหัวรบมีนำหนัก 750 กิโลกรัม ซึ่งสามารถยิงได้ถึง 200 กิโลเมตร ในปี 1977 เมื่อ Moshe Dayan รัฐมนตรีการต่างประเทศอิสราเอลได้อธิบายถึงโครงการจรวจ กล่าวว่า พื้นที่ต่อพื้นที่ของจรวดสามารถอ้างถึงจรวจกับหัวรบนิวเคลียร์ อิสราเอลต้องสำเร็จในการดำเนินงาน ดังนั้นระบบพื้นฐานการส่งมอบจรวจหัวรบนิวเคลียร์ ระเบิดนิวเคลียร์และการส่งมอบจรวจต้นแบบ ระบบการทำของอิสราเอลต้องประสบผลสำเร็จ
เรื่องราวที่น่าสนใจคือโปรแกรมนิวเคลียร์ของอิสราเอลนั้นซึ่งได้ปรากฎมานานแล้ว เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1949 ที่ Weizmann ก่อตั้งขึ้นใกล้เคียงกับ Tel Aviv ได้สร้างห้องปฎิบัติการการวิจัยนิวเคลียร์แห่งพลังมหาศาล ซึ่งในการทดลองทางฟิสิกส์และนิวเคลียร์ซึ่งมีเครืองมื อุปกรณ์อย่างครบถ้วนในการทดลอง The Atomomic Energy Commision ( AEC ) สร้างในปี ค.ศ.1952 โดยเดวิด เบนกูเรียน เป็นผู้ก่อตั้งอิสราเอลและท่านเป็นรัฐมนตรีคนแรกของอิสราเอล ก็ได้สนับสนุนเกี่ยวกับ AEC และได้วางโครงเรื่องในปี ค.ศ. 1952 แนะนำใหรัฐบาลลองเรียนรู้นโยบายให้นานเพื่อเป็นเครื่องมือในการรองรับนโยบายและได้ดำเนินการติดต่อกับสถานบันนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติเป็นเตรียมครั้งใหญ่ของรัฐมนตรีความมั่งคง ได้เริ่มต้นโครงการ AEC ในปี ค.ศ. 1948 ซึ่งรัฐมนตรีความมั่งคงได้วางแผนสำรวจทางธรณีวิทยา ของ Negev ซึ่งได้สำรวจยูเรเนียม และในปี ค.ศ.1952 เป็นAEC ใหม่เพราอยู่ภายใต้การบังคับโดยตรงและอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐมนตรีความมั่นคง ชาวอหรับบางท่านเรียกร้องให้อิสราเอลสร้างความรู้ในด้านนิวเคลียร์ให้กับชาวอาหรับเนื่องจากอิสราเองมีแหล่งนักวิทยาศาสตร์มากมายล้วนเป็นชาวยิวที่จากยูโรป ซึ่งมีการสนับสนุนและมีความพยายามอย่างสูง ดังนั้นคงไม่แปลกว่าโครงการ Manhattari จึงประสบผลสำเร็จในสหรัฐอเมริกา ความเป็นจริงแล้วชาวอิสราเอลให้ความตระหนักความสำคัญในการอบรมบุคคลากรให้มีความมั่นคงทางด้านนักวิทยาศาสตร์ พวกเขามีฝึกทางเรือ และฝึกให้ชื่นชอบในด้านนักฟิสิกส์ Yaval Neeman ท่านเกิดใน Tel Aviv ในปี ค.ศ 1925 และฝึกฝนในเมืองไฮฟาร์และลอนดอน ท่านเป็นอาจรย์สอนฟิสิกส์ ที่ Tel Aviv University ในปี 1965 ท่านเป็นบุคคลสำคัญใน AEC ด้วย Dostrovsky เป็นนักเคมีชาวอิสราเอล เกิดในปี ค.ศ. 1918 ในเมือง Odessa และท่านจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน ในระหว่าปี 1942 และ 1948 ท่านเป็นอาจารย์บรรยายที่มหาวิทยาลัยวอล์ส ก่อนย้ายไปยังอิสราเอลซึ่งเป็นทางใหม่ของการเปิดตัว Dostrovsky ได้ผลิตพลังงานน้ำ พลังงานจากไอโซโทปของไฮโดรเจนออกออกไซค์ ซึ่งได้มีกรแลกดเปลี่ยนกับฝรั่งเศส หนึ่งนักวทยาศาตร์ที่โดดเด่นทางเคมี คือ Erust Bergmann ท่านเกิดในเยอรมัน ในปี 1904 และเป็นอาจารย์สอนบรรยายที่ มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ท่านมีอายุในการทำงานทางเคมีและ AEC เพียง 16 ปีเท่านั้น Erust Bergmann ซึ่งเป็นที่ปรึกษานักวิทยาศาสตร์ของ Haganah ในปี 1936 ภายหลังจากได้รับอิสราภาพ อดีตท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาเคมีที่มหาวิทยาลัย Hebrew ซึ่งเขาเองก็มีความเกี่ยวข้องกับ AEC แบบลับๆและท่านมีตำแหน่งอดีตประธานสมัชชาการประชุมจนกระทั่งเขาลาออก ในปี ค.ศ. 1966 เพราะความแตกต่างกับนโยบายรัฐมนตรี Levi Eshkol การสนับสนุนของ Erust Bergmann ต่องานของ AEC เป็นการช่วยเหลือหน่วยงานซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1960 และในปี ค.ศ.1966 ท่านได้รับรางวัล State Security Prize ของอิสราเอล การติดต่อกับต่างชาติในช่วงแรกนั้นชาวอิสราเอลได้ร่วมมือกับการวิจัยนิวเคลียร์กับสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1955 ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดี Eisennhower ได้นำเสนอโครงการอะตอมเพื่อสันติภาพ ให้กับสหรัฐอเมริกา และมีการยอมรับ การสร้างปฏิกริยาโต้ตอบ 5MW ที่ Nahal Sorey และระหว่าง ปี ค.ศ 1955 และ 2960 ชาวอิสราเอล 56 คนได้เข้าอบรมฝึกฝนที่ US Atomic Energy commission Center ที่ Argonne และ Oak Ridge ซึ่งจะแสดงถึงความสำคัญในการให้ความร่วมมือของฝรั่งเศสเพื่อให้เกิดการก่อสร้างศูนย์การวิจัยนิวเคลียร์ที่ ไดโมนา ให้มีความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส แต่ในปี ค.ศ. 1957 อิสราเอลได้ตัดสินใจอย่างลับๆและหน่วยกระบวนการได้สันนีฐานว่าเขายอมรับแค่ 7 คนเท่านั้นที่สามารถเป็นสมาชิก AEC บุคคลที่ไม่ยอมรับคือ Erust Bergmann หลังจาการยึดครอง ในปี ค.ศ. 1966 AEC ก็ได้เปลียนจากรัฐมนตรีความมั่นคงเป็นหน่วยงานของรัฐมนตรีอันดับหนึ่งและได้ขยายสมาชิกได้ 20 คน การตรวจสอบ AEC ซึ่งแนกได้ 3 หลักฐาน คือ ต้องมีใบอนุญาต( ใบอนุญาติผู้ควบคุมของกิจกรรมนิวเคลียร์ทั้งหมดในประเทศ) พลังงานและน้ำ (ตัวกลางและแผนขอบเขตระยะของพลังงานนิวเคลียร์ในอิสราเอล) ในส่วนที่มีทั้งหน่วยงานทั้งสองจุดประสงค์ และการปล่อยรังสี การนำวิทยุไอโซโทปมาใช้(Shyme Bhatia,1988 : 40)การแพร่ขยายนิวเคลียร์ ตั้งแต่การเริ่มระเบิดปรมาณูลูกแรกซึ่งถูกทิ้งลงบนเกาะนางาซากิ และฮิโรชิมาใน ค.ศ.1945 นั้นเป็นที่กล่าวกันว่าสามารถหยุดสงคราโลกครั้งที่สองไว้ได้ ถึงแม้มันจะขัดแย้งกับความจริงที่ว่า ญี่ปุ่นกำลังเจรจายอมแพ้อยู่แล้ว แต่จะเกิดประโยชน์อะไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นแกชีวิตและวัตถุนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ผลของความเสียหายทางด้านกัมมันตรังสีต่อมนุษย์ และวัตถุในญี่ปุ่นนั้นสามารถเห็นได้ชัดแม้แต่ในปัจจุบัน ละอองกัมมันตรังสีเดินทางไปได้ไกลเกินกว่าบริเวณที่ได้รับความเสียหาย ทำให้อากาศ น้ำ วัตถุ และดินเป็นพิษ นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันรู้สึกขนพองสยองเกล้าเมื่อนึกถึงการระเบิดของปรมาณู เพราะผลระยะยาวและกว้างไกลของมันนั้นน่าสยดสยองยิ่งกว่าผลและการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นอย่างทันที่ทันใดของมันเสียอีก (คมชัดลึก,2548 : ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม)ไฟทำลายล้าง แต่มันก็สามารถถูกนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของมนุษย์ พลังปรมาณูก็ได้ถูกพัฒนาเพื่อสร้างพลังงานสำหรับการใช้ประโยชน์อย่างสันติ ซึ่งตรงกันข้ามกับการใช้ในสงครามเพื่อการทำลายล้าง เตาปฏิกรณ์ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าจากการแตกตัวของไอโซโทฟของยูเรเนียม 239 ที่ถูกผลิตมาจากยูเรเนียม 235 ที่ถูกสกัดแล้ว ในตอนแรก เป็นที่ถือกันว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สร้างมลภาวะ เพราะมันไม่มีควันหรือการปล่อยสารเคมีที่มองเห็นออกมา เตาปฏิกรณ์ปรมาณูสำหรับการสร้างพลังงานตอบสนองความจำเป็นทางด้านไฟฟ้าของตนเองและเพื่อการส่งออกได้กลายเป็นที่นิยมในประเทศที่พัฒนาแล้ว จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ โรงงานต่าง ๆ ที่สร้างเตาปฏิกรณ์เหล่านั้น รวมทั้งสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน และโซเวียตรัสเซีย ได้ปกปิดอันตรายอย่างรุนแรงของมันไว้เป็นความลับ แม้จะใช้เพื่อสันติก็ตาม การใช้กัมมันตภาพรังสีได้ขยายไปถึงภาคการเกษตร การแพทย์ การพัฒนาทางด้านพลเรือนและทหารด้วย
อุบัติเหตุไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ในการใช้ทางด้านทหารได้ถูกปกปิดไว้เป็นความลับ แต่การระเบิดบางครั้งในโครงการพลเรือนนั้นประชาชนได้รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของมัน อุบัติเหตุเหล่านี้บางครั้งได้เกิดซ้ำอีก ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยก็ตาม อุบัติเหตุในโรงงานพลังงานนิวเคลียร์ได้เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น ในวินด์สเกล (ต่อมาได้ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า เซลลาฟิลด์) ในอังกฤษเมื่อ ค.ศ.1957, 1976, 1981 และ 1985 ในเมืองคิชไทน์ (Kyshtyn) ในอูราตอนใต้ของโซเวียนตรัสเซียใน ค.ศ.1957 ที่ดีทรอยใน ค.ศ.1968 และในนิวยอร์กใน ค.ศ.1972 ที่บราวน์เฟอรีใน ค.ศ.1975 ที่เกาะทรีไมล์ แฮร์ริสเบิร์กใน ค.ศ.1978 และที่การีออคราโทรเม็กซ (Gareok Ratromex) ของสหรัฐใน ค.ศ.1985 เหล่านี้เป็นอุบัติเหตุบางส่วนที่มีการเปิดเผยล่าสุดนี้ ก็ยังมีเกิดขึ้นในเซอร์โนบิลในสหภาพโซเวียตใน ค.ศ.1986 และในก็อยอาเนีย (Goiania) ในบราซิลใน ค.ศ.1987 ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่พื้นที่บริเวณใกล้เคียงและไกลออกไป อุบัติเหตุเหล่านี้คร่าชีวิตคนและสัตว์ไปเป็นจำนวนมาก ทำให้อาหารและน้ำเป็นพิษ ทำลายพืชผลและชีวิตต้นไม้ และยังคงเป็นอันตรายต่อสุขภาพไปอีกเป็นเวลานาน
มีการประเมินให้เห็นว่าละอองการระเบิด 30 เมกะตัน สามารถทำให้ตัวอ่อนทารกหรือทารกเกิดใหม่ 420 คนเสียชีวิต และทำให้เด็ก 230,000 คน เกิดมาพิการทางร่างกายและสติปัญญา กระบวนการผลิตพลังงานนิวเคลียร์จำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนดังต่อไปนี้ คือ การทำเหมือง การถลุงแร่และการเก็บยูเรเนียม การขนส่งวัตถุดิบและอุปกรณ์การออกแบบ การติดตั้งและการทดลองเตาปฏิกรณ์ การแปรสภาพ การปรุงแต่งแร่ยูเรเนียม 235 และยูเรเนียม 239 และการนำมาผ่านกระบวนการอีกครั้งหนึ่ง การผลิตและการจ่ายพลังงานไฟฟ้าและการขจัดของเสีย ขั้นตอนนี้ทั้งหมดล้วนมีความเสี่ยงต่อทั้งชีวิตและวัตถุ ไม่ใช่แค่ในความหมายของการระเบิดหรือเตาปฏิกรณ์เท่านั้น แต่โดยการรั่วไหลและการทิ้งด้วย เนื่องจากกระบวนการนี้มีความเกี่ยวข้องกับทั้งมนุษย์และเครื่องจักร ความผิดพลาดจึงอาจเกิดขึ้นได้และคามผิดทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอันตรายสำหรับสิ่งแวดล้อมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แม้แต่โรงงานฟ้า ขีปนาวุธและการกำจัดขยะนิวเคลียร์ที่เลิกใช้แล้วในยุโรปและอเมริกาก็เป็นอันตรายอย่างมหาศาลต่อมนุษยชาติ โดยเฉพาะเมื่อผู้บริหารพลเรือนและกองทัพคิดแต่เรื่องวัตถุอย่างเดียว และปฏิบัติไปตามแรงจูงใจของตน
ไม่มีความเห็น