นักวิเคราะห์การเมืองตะวันออกกลางชื่อดังท่านหนึ่ง คือ ฮวน โคล ให้ความเห็นว่าหลังจากการเปิดตัวรัฐบาลใหม่ว่า แม้รายชื่อรัฐมนตรีจะออกมาไม่ครบ แต่นั่นอาจจะไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเขามีความเชื่อว่าความรุนแรงในอิรักกำลังจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และการเคลื่อนไหวของชาวซุนนีในรูปแบบสงครามกองโจรน่าจะยิ่งเข้มข้นกว่าเดิมด้วยซ้ำในอิรักมีกลุ่มชนหลากหลายชาติพันธ์ วัฒนธรรมและเกิดการแบ่งกลุ่มกันหลายๆกลุ่มด้วยกัน เช่น กลุ่มของชาวซิอะห์ กลุ่มของชาวซุนนี่ กลุ่มของชาวเคริด์ และกลุ่มอื่นๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความต้องการที่จะเข้าไปมีอำนาจในบริหารและการจัดการปกครองประเทศอิรัก ส่วนในที่นี้จะกล่าวถึงการเมืองของชาวซิอะห์ที่มีท่าทีต่อการเมืองของอิรักภายหลังสงคราม และการเมืองของซีอะห์เวลานี้มีแนวโน้มทางการเมือง-ศาสนาในหมู่ประชากรชีอะฮ์มีอยู่ 4 แนวโน้มด้วยกัน
แนวโน้มแรกปรากฏอยู่ในเฮาซะฮ์ ในเมืองนายัฟอันเป็นองค์กรทางศาสนาของสำนักคิดชีอะฮ์ ซึ่งมีอยาตุลลอฮ์ อัศ - ซัยยิด อะลี อัศ - ซิสตานี เป็นผู้นำสูงสุด ตามมาด้วย อยาตุลลอฮ์
อัล - ฟัยยัด ฮุสเซ็น บาชีร อัล – อัฟฆอนี และมุฮัมมัด ซาอีด อัล - ฮากิม แม้ว่ากลุ่มนี้จะได้รับความเคารพจากชีอะฮ์ส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นที่สงสัยกันว่ากลุ่มนี้จะมีความสามารถในการระดมประชาชนในทางการเมืองในลักษณะของรัฐอิสลามหรือไม่ และอัล – ฮากิม ก็เป็นชาวอิรักคนเดียวในกลุ่มนี้
แนวโน้มที่สองประกอบขึ้นด้วยสานุศิษย์ของอัศ – ศาดร์ กลุ่มนี้แสดงให้เห็นความสามารถในการระดมผู้คนส่วนใหญ่ในอิรักทางตะวันออกที่อยู่รอบนอกของกรุงแบกแดด ซึ่งมีชาวชีอะฮ์มากกว่า 2 ล้านคนเข้ามาอยู่ในเมืองนี้ก่อนที่รัฐบาลจะโค่นล้มมีชื่อว่า ซัดดัมซิตี้ คนเหล่านี้ได้เข้ามาริเริ่มให้เพื่อนบ้านต่าง ๆ ของชาวชีอะฮ์และเมืองอื่น ๆ สร้างกองกำลังขึ้นมารักษาระเบียบแบบแผนหลังจากเกิดความแตกแยกขึ้นในองค์กร ดังนั้น ความเข้มแข็งของกองกำลังชีอะฮ์จึงเพิ่มขึ้น
แนวโน้มที่สามประกอบด้วยพรรคการเมืองต่าง ๆ และขบวนการที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นมาอย่างเช่น พรรคเผยแพร่อิสลาม (Islamic Daawa Party) องค์การภารกิจอิสลาม (Islamic Task Organisation) และกลุ่มเล็ก ๆ อื่น ๆ ซึ่งสมาชิกของพวกเขาก็มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวในอิรักมาตั้งนาน เวลานี้พวกเขาจึงต้องเผชิญกับการบริหารในบรรยากาศที่แตกต่าง และต้องแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติการทางการเมืองที่ยังมิได้เปิดเผยออกมารวมทั้งต้องสามารถหาทางออกให้กับปัญหาทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมให้ได้อีกด้วย
แนวโน้มที่สี่นำเสนอโดย สภา SCIRI ผู้นำสภานี้คือ อยาตุลลออ์ มุฮัมมัด บากิร อัล – ฮากิม ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเพราะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่กับการโค่นล้มรัฐบาลซัด รวมทั้งการที่ครอบครัวของเขามีประวัติศาสตร์อยู่ในดินแดนแห่งนี้ โดยบิดาของเขาเป็นผู้นำที่มีศักยภาพในเมืองอายัฟก่อน อัล – ฮากิม ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเมื่อเขาเดินทางกลับอิรัก อย่างไรก็ตามความไม่สามารถของสภาของเขาในการชี้นำชาวชีอะฮ์จากแขวงต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่ามีชาวชีอะฮ์อีกมากที่ไม่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมสภาของเขา ดังนั้นการที่ อัล – ฮากิม อ้างว่าพูดในนามของชาวชีอะฮ์ทั้งมวลอาจถูกลดความเชื่อถือลงเมื่อไปสมคบกับสหรัฐอเมริกาที่ใช้สภานี้เป็นเครื่องกำบังเพื่อทำให้การรุกรานมีความชอบธรรมก่อนที่จะละทิ้งแนวคิดของสภาไปในที่สุดเพราะสหรัฐอเมริกาได้ยืนกรานอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลอิสลามไม่ว่ารูปแบบใดก็ตามไม่ใช่ข้อเลือกสำหรับอิรักที่สหรัฐจะรับได้
เมื่อพูดถึงขบวนการทางการเมืองของชีอะฮ์ ควรจะรับรู้ไว้ด้วยว่า คนส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่ได้มาจากสภาหรือองค์การข้างต้นเท่านั้น จำนวนไม่น้อยของพวกเขาเป็นพวกชาตินิยม เสรี-นิยม หรือยึดติดกับฝ่ายซ้าย การล่มสลายของรัฐบาลซัดดัมจึงเปิดโอกาสให้ชาวชีอะฮ์รวมทั้งจำนวนของพวกเขาจะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องผ่านการท้าทายอย่างหนักด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกันนี้พวกเขาจะต้องถนอมความรู้สึกของซุนนีที่มีอยู่จำนวนมากในประเทศอาหรับต่าง ๆ ที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับรัฐบาลอิรักในอนาคต แม้ชาวชีอะฮ์มุ่งที่จะพิจารณาตัวเองว่าพวกเขาเป็นศูนย์รวมของอิรักอย่างแท้จริง แต่ก็จะต้องดูกันต่อไปว่าในที่สุดพวกเขาจะได้รับความสำเร็จในการมีส่วนร่วมกับความมั่นคงและอำนาจทางการเมืองในอิรักหรือไม่
การบูรณะฟื้นฟูอิรักโดยชาวอิรักหลังจากที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอีกสองประเทศได้ใช้อาวุธที่ทันสมัยและกองกำลังเข้าโจมตีอิรัก และสามารถปลดคณะผู้นำประเทศชุดเก่าออกไปได้โดยปริยาย คือ ไม่ปรากฏตัวคณะผู้นำชุดเดิมของซัดดัมมาอ้างอำนาจการปกครองประเทศโดยชอบธรรม ตั้งแต่วันแรกที่ถูกโจมตี จนถึงช่วงที่สหรัฐอเมริกาได้เป็นผู้นำในการฟื้นฟูประเทศนี้แล้ว ข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก ก็คือในช่วงการบูรณะฟื้นฟูอิรัก รวมทั้งในวันเวลาข้างหน้า ดูเหมือนว่าชาวอิรักเองจะไม่มีบทบาทในการจัดการกับอนาคตของบ้านเมืองของเขา ทรัพยากรของเขา และวิถีชีวิตของเขาแต่อย่างใด
รูปแบบของการบูรณะฟื้นฟูอิรักหลังสงคราม คณะมนตรีความมั่นคงก็อาจช่วยวางกรอบให้เห็นภาพของบทบาทของสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศหลายองค์กรด้วยกันที่จะเข้ามาร่วมกันบูรณะฟื้นฟูอิรัก แต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นในอิรักนั้นจะต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดแน่นอน คือ สหรัฐอเมริกาจะเป็น “ผู้แสดงนำ” ในการบูรณะฟื้นฟูอิรัก ซึ่งจะเป็นไปตามวิธีการและผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ซึ่งประชาชนชาวอิรักเองจะมีโอกาสได้ร่วมตัดสินใจชะตาชีวิตของตนเองภายหลัง “ระบบซัดดัม” ถูกโค่นล้มไปแล้วมากน้อยเพียงใด ถ้ามองดูสถานการณ์ด้านต่าง ๆ ที่แวดล้อมอยู่ในขณะนี้แล้วคงจะบอกได้ว่าชาวอิรักไม่พอใจเท่าใดนัก และสหประชาชาติก็ดี สหรัฐอเมริกาก็ดี องค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ที่ติดตามสถานการณ์ในอิรักนั้น คงบอกได้ว่าประเทศอิรักหลังยุคซัดดัมจะต้องเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตยมีรัฐบาลที่ปกครองตนเอง และได้รับการยอมรับจากประชาชนในประเทศและจากนานาชาติ อีกทั้งเป็นสังคมหลากหลายชาติพันธุ์ ซึ่งมีการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของชาวอิรัก มีศูนย์การตัดสินแบบพหุนิยมทางการเมือง และมีการจัดสรรทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์ของชาวอิรัก โดยเฉพาะทรัพยากร “น้ำมัน” ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ชาวอิรักพึงมีอยู่
การปกครองแบบประชาธิปไตยที่สหรัฐอเมริกา และพันธมิตรเน้นย้ำนั้น เป็นประชาธิปไตยแบบที่มี “ข้อแม้” ตั้งแต่แรกแล้วที่สหรัฐอเมริกาแสดงความต้องการอย่างเปิดเผยว่า “อิรักจะต้องมิใช่ประเทศที่ปกครองตามหลักปฏิบัติแบบอิสลามอย่างเคร่งครัด” และหากประชาชนชาวอิรักมีสิทธิเลือกตั้งทั่วไปแบบประชาธิปไตย มุสลิมชีอะฮ์ซึ่งเป็นประชากรที่จำนวนมากที่สุดในประเทศก็น่าจะได้รับเลือกเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญต่าง ๆ มากที่สุด และชนกลุ่มนี้จะต้องเสนอให้นำหลักศาสนาเป็นวิถีการปกครองบ้านเมือง ซึ่งชาวอิรักกลุ่มอื่นและสหรัฐอเมริกาก็คงจะไม่ยอมแน่นอน แม้ว่าขั้นตอนการได้มาซึ่งระบบการปกครองนั้นจะถูกต้องตามขั้นตอนของประชาธิปไตยทุกอย่างก็ตาม
เมื่อปัญหาใหญ่เป็นเช่นนี้แล้ว ปัญหาที่ตามมาก็จะยากต่อการแก้ไข คือ “รัฐบาลที่มีสิทธิปกครองตนเอง” ของอิรัก ซึ่งได้รับเลือกด้วยเสียงข้างมากของประชาชน จะตั้งระบบการปกครองในลักษณะที่หลายกลุ่มไม่ยินยอม รวมทั้งสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็น “คนนอก” แต่มีอำนาจในอิรักเต็มที่ สภาวะเช่นนี้จะนำไปสู่ความเสียหายอย่างที่อิรักจะไม่มีช่วง “สงบ” เพื่อการพัฒนาประเทศได้เลยและที่คาดว่าสังคมใหม่ของอิรักนั้นจะต้องเป็นสังคมหลากหลายชาติพันธุ์ ซึ่งมีศูนย์การตัดสินใจแบบพหุนิยม สิ่งนี้คือพฤติกรรมที่สวนทางกับความเป็นมาของประเทศนี้ คือ อิรักสมัยโบราณและสมัยใหม่ประกอบด้วยคนหลากกลุ่ม หลายชาติพันธ์ หลากศาสนา ซึ่งไม่เคยยอมสยบต่อการตัดสินใจของคนนอกกลุ่ม ดังนั้น การปกครองแบบ “เผด็จการอย่างเข้มงวด” ทั้งก่อนและระหว่างยุคซัดดัม จึงจำเป็นสำหรับการสร้างเสถียรภาพให้แก่สังคมชนิดนี้ ความหวังที่จะให้สังคมอิรักในอนาคตเป็นสังคมปิด โดยชนกลุ่มต่าง ๆ มีความเป็นมิตรต่อกัน มองเห็นผลประโยชน์ร่วมกัน และยอมรับความแปลกแยกของกันและกัน โดยยอมที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติภายในประเทศเดียวกันนั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
ทางด้านทรัพยากรที่มีค่าของอิรักนั้น ในระยะบูรณะฟื้นฟูประเทศ ชาวอิรักจะไม่มีสิทธิที่พูดถึงเรื่องน้ำมัน เพราะอำนาจการผลิตและการขายจะอยู่ในมือของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร โดยที่ประเทศเหล่านี้จะกระทำให้ดูเหมือนอยู่ในกรอบของนโยบายของสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกาจะต้องมีอำนาจเหนือกว่าทุกองค์กรในเรื่องการบริหารการผลิตและรายได้จากน้ำมันเพราะสิ่งนี้คือเหตุผลสำคัญของสหรัฐอเมริกาในการใช้กำลังโจมตีอิรักครั้งนี้ ดังนั้น สหรัฐอเมริกาจะไม่มีวันปล่อยให้อำนาจการตัดสินใจเรื่องน้ำมันหลุดมือไปได้โดยเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร สหประชาชาติและสหรัฐอเมริกาต่างก็มีความเห็นเช่นเดียวกับประชาชาติทั้งปวงที่ใส่ใจเรื่องอิรักว่า ประชาชนชาวอิรักจะต้องถูกนำเข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญของคณะผู้บริหารประเทศในระดับชั่วคราวและถาวร ซึ่งจะดำเนินไปโดยกระบวนการประชาธิปไตย
การสรรหาประชาชนชาวอิรักที่เหมาะสมให้เข้ามามีบทบาทร่วมกันฟื้นฟูประเทศไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งบทบาทในการป้องกันและรักษาความปลอดภัยภายในและภายนอกประเทศนั้น เป็นความยากเย็นแสนสาหัส ดังจะได้ยกเหตุผลมาประกอบดังนี้ คือ
1. ชาวอิรักที่มีความสามารถด้านการบริหารประเทศ บุคคลทั้งหมดที่มีความสามารถเช่นนี้ คือ ชาวอิรักที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรใดในระบบเก่านั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรคบาธ ทหารในกองทัพทุกเหล่าบุคลากรในกองกำลังพิเศษทั้งเปิดและลับนอกเหนือจากกองทัพปกติ สมาชิกในสภาบัญชาการปฏิวัติ (RCC) ข้าราชการในกระทรวงทบวงกรมและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ รวมทั้งบุคลากรที่มีสังกัดหรือไม่มีสังกัดอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นภารกิจปฏิบัติงานให้แก่ซัดดัมและคณะผู้นำของประเทศชุดเดิมในทางทฤษฎีนั้น บุคคลเหล่านี้สูญหารตายจากไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ หากไม่ตายในสงครามก็หลบซ่อนอยู่ภายในหรือลอบหนีออกไปนอกประเทศแล้ว และยิ่งเมื่อฝ่ายสหรัฐอเมริกาได้ประกาศจับตัวนักการเมืองชั้นสูง 55 คน (จับมาได้แล้วบางส่วน) และได้ประกาศยุบพรรคบาธลงไปแล้ว (ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2003) ก็ยากที่จะนำตัวบุคลากรเหล่านี้มาร่วมฟื้นฟูประเทศได้ในทันที นอกจากจะมีการ “อบรม” หรือ “ปรับเปลี่ยน” ทัศนคติคนเหล่านี้เสียก่อน ซึ่งภายในเวลาประมาณสองเดือนภายหลังสงครามยังไม่มีโครงการดังกล่าวนี้
ดังนั้น สรุปในขั้นแรกคือ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในระบบเก่าจะมิใช่ทรัพยากรมนุษย์ที่ถูกนำมาช่วยในการฟื้นฟูอิรักภายใต้ระบบใหม่ อิรักในระบบใหม่จึงเป็นประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์อย่างมาก เพราะบุคคลที่เคยทำงานอยู่ในระบบเก่าเหล่านั้นเรียกได้ว่าเป็น “มืออาชีพ” ที่มีความสันทัดภารกิจภายใต้ความรับผิดชอบของเขาในระดับหนึ่ง เป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาดีที่สุดเท่าที่มีในอิรัก และอย่างเป็นระบบที่สุด
2. ประชาชนอิรักทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในสมัยโบราณ สมัยอยู่ภายใต้จักรวรรดิออตโตมันตลอดจนสมัยใหม่ ก่อนที่พรรคบาธจะผูกขาดอำนาจการปกครองนั้น ชนชาติอิรักได้ชื่อว่าเป็นชนชาติที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างยิ่งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ชาวอิรักชำนาญในวิชาคำนวณ วิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรม และถนัดในการใช้อาวุธ อีกทั้งยังเป็นพ่อค้าและนักธุรกิจที่หลักแหลม รู้ทันคนและทันเหตุการณ์ การที่อิรักร่วมสมัยมิได้ผูกติดกับหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด เช่น ซาอุดีอารเบีย หรืออิหร่านตั้งแต่ยุคโคเมนีเป็นต้นมา ทำให้ประชาชนอิรักทั้งชายและหญิงมีโอกาสได้พัฒนาตนเองไปในแนวทางสากลนิยมไม่มีการจัดบทบาทของสตรี ไม่มีข้อสงวนของศาสนา ที่มีผลต่อการจำกัดพฤติกรรมการใช้ชีวิตของประชาชนที่เข้มงวดจนไร้เหตุผล แต่ปรากฏว่าในความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ประชาชนอิรักนั้นก็เป็นทรัพยากรที่เหมาะสมแก่การช่วยสร้างชาติในยามที่ชาติต้องการ
3. ชาวอิรักคืนถิ่น ระหว่างที่อิรักตกอยู่ภายใต้การปกครองใน “ระบอบซัดดัม” มีชาวอิรักเป็นจำนวนมากลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศเพื่อหลีกหนีการกดขี่ข่มเหงของซัดดัมและพลพรรคของเขา ชาวอิรักที่มีรายได้น้อยมักลี้ภัยไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จอร์แดน ซีเรีย และเลบานอน ส่วนชาวอิรักที่มีความรู้และมีฐานะจะลี้ภัยไปยังประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรป เป็นต้น และการที่ชาวอิรักกลุ่มต่าง ๆ เข้ามาร่วมกันฟื้นฟูประเทศดูจะไม่มีหนทางสำเร็จเสียเลย แม้แต่จะมาช่วยร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาก็ดูจะเป็นปัญหาให้ต้องแก้อีกด้วย
ไม่มีความเห็น