สารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
(1) ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา
(2) ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน
(3) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ
(4) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ
ตัวอย่างรายงานระบบสารสนเทศเพื่อพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
1) ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา
1.1 ข้อมูลทั่วไปของสถานศึกษา
1.2 สภาพการบริหารและการจัดการตามโครงสร้างการบริหารและภารกิจ 1.3 ศักยภาพของสถานศึกษา
1.4 ความต้องการของสถานศึกษา
1.5 แนวโน้มการพัฒนาท้องถิ่น
1.6 แนวทางการจัดการศึกษา
เว็บไซต์โรงเรียน www.nakhon3.net2khoknodข้อมูลนักเรียน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 256 คนสารสนเทศความต้องการในการพัฒนา จากการวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการในการพัฒนาครู บุคลากร นักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนและผู้เกี่ยวข้อง โดยการใช้แบบทดสอบถามความต้องการในการพัฒนาโรงเรียน การพัฒนาระบบบริหารและการจัดการ อันดับ 1 โรงเรียนจัดวางระบบการบริหารจัดการที่ดี บรรยากาศและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนกระบวนการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาโรงเรียนบ่งบอกถึงการกระจายอำอาจและการมีส่วนร่วมรับผิดชอบคล่องตัว ตลอดจนวัฒนธรรมองค์กรที่ผนึกกำลังสร้างสรรค์แบบกัลยาณมิตร อับดับ 2 โรงเรียนพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้เข้มแข็งลดความเสี่ยงขจัดภัยอุปสรรค์ที่ก่อปัญหาให้นักเรียน ตลอดจนการช่วยเหลือส่งเสริมนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ อันดับ 3 โรงเรียนมีแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการที่เกิดจากการมีส่วนร่วม และการยอมรับของผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาเอกลักษณ์ตามความต้องการของชุมชนและสอดคล้องกับเจตนารมณ์และทิศทางของโรงเรียน
2) ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน
2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน
2.2 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน
2.3 ผลงานและการแสดงออกของผู้เรียน
2.4 รูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน
2.3 ผลงานและการแสดงออกของผู้เรียนโครงงานทำเยื่อกระดาษจากวัสดุธรรมชาติกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550ผู้จัดทำโครงงาน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1อาจารย์ที่ปรึกษา นางพิมพ์ศรี บุญลาภความเป็นมาและความสำคัญของโครงงานในปัจจุบันกระดาษสาที่ใช้ในการวาดภาพหรือห่อของขวัญค่อนข้างมีราคาแพง ประกอบกับเคยเห็นมีการนำเนื้อเยื่อจากพืชมาทำกระดาษได้ จึงเกิดความสนใจที่จะทำกระดาษ แต่พืชที่พอจะสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำกระดาษมีจำกัด และเคยเห็นเขาตัดต้นกล้วยและผักตบชวาทิ้ง จึงคิดว่าน่าจะนำกาบกล้วยและผักตบชวามาทำกระดาษ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพืชชนิดใดจะนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำกระดาษได้ดีกว่ากัน จึงสนใจทำการศึกษาว่า กระดาษที่ทำจากกาบกล้วยหรือผักตบชวาจะมีเส้นใยเหนียวหรือยึดกันแน่นกว่ากันวัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อทำเยื่อกระดาษจากกาบกล้วยและผักตบชวา 2. เพื่อเปรียบเทียบเส้นใยของเยื่อกระดาษที่ทำจากกาบกล้วยกับผักตบชวาสมมติฐานของการศึกษา กระดาษที่ทำจากกาบกล้วยมีเส้นใยใหญ่ เหนียวและยึดกันแน่นกว่าเส้นใยจากผักตบชวาตัวแปรที่ศึกษา 1. ตัวแปรอิสระ ชนิดของวัสดุธรรมชาติ คือก้านผักตบชวา และกาบกล้วย 2. ตัวแปรตาม คุณภาพของเยื่อกระดาษ ได้แก่ ความอ่อนนุ่มของเส้นใย และสี 3. ตัวแปรควบคุม 1) ปริมาณวัสดุแต่ละชนิด 2) ปริมาณที่ใช้เคี่ยวผักตบชวาและกาบกล้วย 3) เวลาในการเคี่ยว 4) เวลาในการตากแดด 5) ชนิด ขนาด และรูของตะแกรงที่กรองผักตบชวาและกาบกล้วยวิธีดำเนินงาน 1. หั่นกาบกล้วยและผักตบชวาเป็นท่อนยาวท่อนละ 1-2 นิ้ว อย่างละ 1 ถ้วยตวง (ทำแยกกัน) 2. นำกาบกล้วยและผักตบชวาไปต้มในน้ำ 3 ถ้วยตวงจนเปื่อย นาน 30 นาที (ทำแยกกัน) 3. นำกาบกล้วยผักตบชวาที่ต้มแล้ววางทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ (ทำแยกกัน) 4. นำกาบกล้วยและผักตบชวาชิ้นเล็กๆ ไปตำในครกให้ละเอียด (ทำแยกกัน) 5. นำกาบกล้วยและผักตบชวาที่ตำละเอียดแล้วใส่ลงในน้ำกวนให้เข้ากันแล้วนำตะแกรงไปช้อนเนื้อเยื่อกาบกล้วยและผักตบชวา แล้วเกลี่ยให้เป็นแผ่นเสมอกัน (ทำแยกกัน) 6. นำกาบกล้วยและผักตบชวาที่ได้ ไปตากแดดให้แห้งแล้วลอกเป็นแผ่น (ทำแยกกัน)ผลการทดลอง
วัสดุที่ใช้ | ลักษณะเส้นใย |
กาบกล้วย | เส้นใยใหญ่ อ่อนนุ่ม เหนียวและยึดกันแน่น |
ผักตบชวา | เส้นใยเล็ก กระด้าง กรอบ และยึดกันไม่ค่อยแน่น |
สรุปผลการทดลอง กระดาษที่ทำจากกาบกล้วยมีเส้นใยเส้นใหญ่ อ่อนนุ่ม เหนียว และยึดกันแน่นกว่าเส้นใยจากผักตบชวาประโยชน์ที่ได้รับ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการศึกษาการทำกระดาษจากกาบกล้วย และผักตบชวาไปใช้ทำกระดาษได้ โดยควรเลือกใช้เส้นใยจากกาบกล้วยไปทำกระดาษ เพราะจะให้เส้นใยที่เหนียวและอ่อนนุ่มกว่าเส้นใยจากผักตบชวา 2. ด้านการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน อันดับ 1 นักเรียนทุกคนใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพนักเรียนกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ อันดับ 2 นักเรียนทุกคนอ่านและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง นักเรียนทุกคนมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ตามที่โรงเรียนกำหนด อันดับ 3 นักเรียนทุกคนใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้
3) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ
3.1 หลักสูตรและการเรียนการสอน
3.2 การวัดและประเมินผลการเรียน
3.3 การพัฒนากิจกรรมแนะแนว
3.4 การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3.5 การวิจัยในชั้นเรียนโครงการวิจัยในชั้นเรียน1. ชื่อเรื่องงานวิจัย การสร้างชุดฝึกทักษะการอ่านหนังสือไม่ออกสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่อ่านหนังสือไม่ออก โรงเรียนขอนหาดประชาสรรค์2. คณะผู้วิจัย ครูกลุ่มสาระภาษาไทย3. ความสำคัญของปัญหา จากการประเมินของ สมศ. พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่ำและประสิทธิภาพด้านการอ่านของนักเรียนยังอยู่ในระดับปรับปรุง สาเหตุเนื่องจากนักเรียนอ่านหนังสือไม่ออก จึงส่งผลกระทบต่อการเรียนในรายวิชาต่าง ๆ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำไปด้วย ผู้วิจัยมองเห็นความสำคัญของปัญหานี้ จึงได้จัดทำวิจัยเรื่องนี้เพื่อแก้ปัญหานักเรียนอ่านหนังสือไม่ออก โดยจัดทำชุดฝึกทักษะการอ่านหนังสือภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีทื่ 14. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 4.1 เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านหนังสือภาษาไทย ของนักเรียนชั้น ม.1 4.2 เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาไทย ระดับชั้น ม.15. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5.1 ได้ชุดฝึกทักษะการอ่าน จำนวน 20 ชุด 5.2 นักเรียนที่ได้ชุดฝึกทักษะ สามารถอ่านหนังสือออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 ของนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออก6. ขอบเขตของการวิจัย ศึกษาเฉพาะรักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่อ่านหนังสือไม่ออก โรงเรียนขอนหาดฯ7. ข้อตกลงเบื้องต้น -8. กรอบแนวคิดในการวิจัย นิยามศัพท์ - ชุดฝึกทักษะการอ่าน หมายถึง แบบฝึกทักษะการอ่าน ที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้น ให้นักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออก ใช้ฝึกการอ่าน - นักเรียนอ่านหนังสือไม่ออก หมายถึง นักเรียนที่ครูผู้สอนภาษาไทยปรับพื้นฐานระบุว่าเป็นผู้อ่านหนังสือไม่ออก9. ระเบียบวิธีวิจัย - วิธีการดำเนินการวิจัย 9.1 พัฒนาชุดฝึกทักษะการอานโดยมีขั้นตอนดังนี้ - สร้างชุดฝึกทักษะการอ่าน - ตรวจสอบผล - ปรับปรุงจนได้แบบฝึกที่มีคุณภาพ 9.2 ประชากร คือ นักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนขอนหาดประชาสรรค์ 9.3 ตัวแปรที่ศึกษาค้นคว้า ตัวแปรต้น ชุดฝึกทักษะการอ่าน ตัวแปรตาม ความสามารถในการอ่านของนักเรียน 9.4 วิธีการรวบรวมข้อมูล ข้อมูลนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออก - นักเรียนที่ครูผู้สอนปรับพื้นฐาน ม.1 ระบุว่าเป็นผู้อ่านหนังสือไม่ออก ข้อมูลผลการอ่านของนักเรียน - แบบฝึกทักษะการอ่าน - แบบบันทึกการอ่าน 9.5 เครื่องมือการวิจัย - แบบสัมภาษณ์สาเหตุการอ่านหนังสือไม่ออก - แบบสอบถามข้อมูลนักเรียน - แบบบันทึกผลการอ่าน 9.6 การวิเคราะห์ข้อมูล - หาค่าเฉลี่ยคะแนนการอ่านของนักเรียนแต่ละคน - หาค่าร้อยละของนักเรียนที่อ่านหนังสือออกตามเกณฑ์ที่กำหนด 9.7 การรายงานข้อมูล - ใช้ตาราง - ใช้แผนภูมิ10. ระยะเวลาและแผนการดำเนินงาน
4) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ
4.1 สภาพบรรยากาศการเรียนรู้
4.2 ทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวก
4.3 การพัฒนาบุคลากร
4.4 ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครองและชุมชนโครงการหลัก โครงการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา1. สอดคล้องแผนงานหลักของโรงเรียนข้อที่ 2. สนองยุทธศาสตร์ของโรงเรียน ข้อที่ 3. ลักษณะโครงการ / กิจกรรม ต่อเนื่อง4. แผนกลยุทธ์สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ข้อที่ 5. สนองกลยุทธ์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 ข้อที่ 6. สอดคล้องกับมาตรฐาน สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ด้านการเรียนการสอน ข้อที่ 7. หลักการและเหตุผล การปฏิรูปการศึกษามีการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ ที่ต้องให้บุคลากรต้องเรียนรู้เพื่อที่จะได้รับรองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงต้องจัดให้มีโครงการนี้เพื่อให้บุคลากรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และนำความรู้มาใช้ปฏิบัติให้เหมาะสมและมีบุคลากรอย่างเพียงพอในหน่วยงาน จากการสำรวจความต้องการการพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษาอยู่ในระดับมากเพื่อให้ครูและบุคลากรในโรงเรียนได้มีความรู้ความสามารถในด้านการจัดการเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อครูได้มีผลงานในการพัฒนาคุณภาพ มีประสิทธิภาพและได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ8. วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้มีระบบการนิเทศภายใน 2. เพื่อให้ครูได้รับการส่งเสริมให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ 3. ส่งเสริมให้ครูได้พัฒนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์วิชาชีพ ในรูปแบบวิธีการต่างๆ เช่นการอบรมเชิงปฏิบัติการ 4. เพื่อส่งเสริมให้ครูได้ผลงานในการพัฒนาคุณภาพ ตลอดจนได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ9. เป้าหมาย 1. ด้านปริมาณ 1. 1 ครูทุกคนได้รับการประชุม, อบรม ,สัมมนา 1. 2 มีครูจ้างเพียงพอตามความต้องการของโรงเรียน 2. ด้านคุณภาพ ครูทุกคนได้รับการส่งเสริมพัฒนาในด้านการอบรมศึกษาดูงานอย่างทั่วถึงและมีอัตราส่วนครู: นักเรียนอย่างเพียงพอ10. ตัวชี้วัด อัตราส่วนครู: นักเรียน, ร้อยละของครู/บุคลากรที่ได้ปฏิบัติงานตรงตามความรู้ความสามารถ11
อ้างอิง
เว็บไซต์โรงเรียน www.nakhon3.net2khoknod
แผนปฏิบัติการประจำปีการศึกษา 2550โรงเรียนขอนหาดฯ
ไม่มีความเห็น