การใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเพื่อทำความกระจ่างชัดในสถานการณ์ต่างๆ เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยป้องกันเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หรือการฟ้องร้องได้
ลองพิจารณาเรื่องราวต่อไปนี้ดู
ผู้ป่วยชายหนุ่มคนหนึ่งได้รับอุบัติเหตุจราจร มีกระดูกหักที่ต้นขาทั้งสองข้าง และกระดูกสันหลังหัก ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ได้ผ่าตัดดามกระดูกต้นขาทั้งสองให้ทันที และวางแผนว่าจะผ่าตัดกระดูกสันหลังให้ในอีกสองสามวัน
วันที่สองหลังจากผ่าตัด พยาบาลรายงานแพทย์ว่าผู้ป่วยมีไข้สูง ชีพจรเต้นเร็ว หายใจหอบ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์รับโทรศัพท์รายงานแล้วก็บอกว่า ไม่ใช่เรื่องของออร์โธ เพราะทางออร์โธจัดการกระดูกเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่รอผ่าตัดกระดูกสันหลัง
ร้อนถึงพยาบาลประจำหอผู้ป่วยต้องโทรศัพท์รายงานให้ผู้บริหารทราบเพราะเกรงว่าผู้ป่วยจะเป็นอันตราย ท่านผู้บริหารซึ่งยังคงมีฝีมือทางด้านคลินิกอยู่ได้มาดูผู้ป่วย เมื่อเปิดผ้าห่มตรวจดูร่างกายก็พบว่ามี petechiae ที่บริเวณหน้าท้อง จึงได้ให้เจาะเลือดดู พบว่ามีเกร็ดเลือดต่ำ Hct สูงขึ้นเล็กน้อย จึงได้ปรึกษาอายุรแพทย์มาช่วยดูว่ามีโอกาสจะเป็นไข้เลือดออกได้หรือไม่ อายุรแพทย์มาดูแล้วก็ให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นภาวะแทรกซ้อนจากภาวะแทรกซ้อนของ multiple fracture ที่เรียกว่า fat embolism ซึ่งก็ได้ให้การรักษาอย่างทันท่วงที และทางผู้บริหารก็ได้สั่งให้งดการผ่าตัดใดๆ ที่วางแผนไว้จนกว่าผู้ป่วยจะกลับเป็นปกติ
กรณีนี้ ให้ข้อคิดอะไรแก่เราบ้าง
1. ความรู้ว่า fat embolism เป็นภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วย multiple fracture หรือการใช้สว่านขยายโพรงกระดูกเพื่อใส่เหล็กดาม เป็นสิ่งที่ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ทุกคนทราบ ซึ่งในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามมาตรฐาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะต้องประเมินผู้ป่วยอย่างรอบด้าน และสามารถวินิจฉัยสภาวะนี้ได้ นี่คือการใช้ core values ในหัวข้อการใช้มาตรฐานวิชาชีพในการปฏิบัติงาน
2. มีความจำเป็นที่จะต้องการสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกันระหว่างแพทย์และพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยว่า fat embolism เป็น clinical risk ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในสภาวะใดบ้าง อาการอะไรที่ทำให้ทีมงานต้องมีความตื่นตัว เมื่อสงสัยว่าจะเกิดสภาวะนี้ขึ้นกับผู้ป่วย จะต้องทำอะไรบ้าง เรื่องนี้ควรเป็น clinical risk ที่ควรอยู่ในหัวใจของทีมงานดูแลผู้ป่วยออร์โธปิดิกส์ทุกคน รวมทั้งควรเป็นประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งในการตามรอยการดูแลผู้ป่วย multiple fracture หรือผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดดามกระดูกที่มีความเสี่ยง
3. การสื่อสารระหว่างแพทย์กับพยาบาล เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม หากพยาบาลทราบว่าสภาวะที่กำลังเผชิญอยู่นี้มีโอกาสเป็นอะไรได้บ้าง การประเมินผู้ป่วยเบื้องต้นและการสื่อสารกับแพทย์จะมีคุณค่าและตรงประเด็นยิ่งขึ้น ทำนองเดียวกัน แพทย์ที่ได้รับรายงานข้อมูล ก็ต้องมีความรับผิดชอบในการมาประเมินผู้ป่วยด้วยตนเอง เพื่อให้การวินิจฉัยและสั่งการรักษา
4. การที่โรงพยาบาลมีระบบที่สามารถรายงานผู้บริหาร และผู้บริหารมาจัดการให้มีแพทย์ในสาขาที่เกี่ยวข้องมาประเมินผู้ป่วยอย่างเหมาะสมนั้น เป็นกลไกที่ช่วยป้องกันภาวะที่ไม่พึงประสงค์ได้เป็นอย่างดี เป็นระบบรองรับที่จำเป็นที่สุดหลังจากที่กลไกอื่นๆ ใช้การไม่ได้ผลแล้ว
5. เครื่องมือคุณภาพทั้งหลายที่ใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น risk
profile, incident report, RCA, CPG ฯลฯ
หากไม่สามารถทำให้เกิดความมั่นใจว่าผู้ป่วย fat embolism
จะได้รับการตรวจพบและให้การรักษาอย่างทันท่วงทีแล้ว
เครื่องมือและกิจกรรมต่างๆ ทั้งหลายนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
ทั้งสิ้น
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมุ่งเน้นคุณค่าในการป้องกันความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
มากกว่าที่จะมุ่งเน้นทำกิจกรรมคุณภาพตามรูปแบบ