เฮ้อ! นึกว่าจะไม่ได้เข้ามาเขียนเรื่องราว (ที่ค้างเอาไว้ต่อ) ต่างๆแล้ว เพราะ กว่าจะเข้ามาได้ต้องเปลี่ยนคอมพิวเตอร์อยู่หลายเครื่อง เนื่องมาจากพยายามเข้ามาในระบบยังไงก็เข้าไม่ได้ ผู้วิจัยเกือบถอดใจไปแล้ว แต่ยังคิดถึงคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ก็เลยยังอดทนในการรอคอย ซึ่งในที่สุดก็เป็นผล สามารถเข้ามาในระบบได้ แม้จะช้ามาก หน้าจอก็สั่นๆจนน่าเวียนหัว แต่ถ้าเราไม่มองหน้าจอซะอย่าง เรื่องก็จบ ผู้วิจัยก็เลยมองแต่แป้นพิมพ์อย่างเดียว ถ้าพิมพ์ผิด ตกหล่นไปบ้างก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ
วันนี้เรามาคุยกันต่อเรื่องการประชุมสัญจรฯก็แล้วกันนะคะ แต่เนื่องจากขีดจำกัดในเรื่องเวลา (ตอนนี้เกือบ 3 ทุ่มแล้วค่ะ) และพรุ่งนี้ผู้วิจัยยังมีงานสอนอีก จึงขอเล่าเพียงวาระเดียวนะคะ (บังเอิญวาระนี้ไม่มีอะไรมากด้วยค่ะ)
วาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุม
ตามปกติเวลามีการประชุมเครือข่ายฯทุกครั้ง เลขาฯ คือ อาจารย์สมพิศ จะต้องเป็นผู้จดบันทึกรายงานการประชุม เมื่อมีการประชุมในเดือนต่อไปก็จะนำรายงานการประชุมที่ตนเองบันทึกเอาไว้มาเสนอให้ผู้เข้าร่วมประชุมรับทราบ และรับรองรายงานการประชุม หากมีผู้ทักท้วงหรือบอกให้แก้ไขจุดใด เลขาฯก็จะจดบันทึกเอาไว้ พร้อมกับขอความคิดเห็นจากที่ประชุมว่าจะยอมให้มีการปลี่ยนแปลงตามที่ทักท้วงเอาไว้หรือไม่ ซึ่งปกติแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร เวลามีการทักท้วงเลขาฯก็จะแก้ไข และบันทึกสิ่งที่แก้ไขในรายงานการประชุมเอาไว้ แล้วนำมาเสนอในคราวต่อไป (ถือว่าเป็นวาระหนึ่งของการประชุม)
สำหรับรายงานการประชุมในครั้งที่ผ่านมานั้นเป็นการรายงานการประชุมคณะกรรมการเครือข่ายฯ/องค์กรออมทรัพย์ชุมชนจังหวัดลำปาง สมัยสามัญ ครั้งที่ 12/2548 วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2548 ณ โรงเรียนวัดนาก่วมใต้ เวลา 09.00 น.
เริ่มต้นด้วยการรายงานผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งมีจำนวน 23 คน มาจาก 13 กลุ่ม (เท่าที่ผู้วิจัยนับได้จากรายงานการประชุม) ในส่วนนี้ผู้วิจัยไม่แน่ใจว่ามีการลงชื่อครบถ้วนหรือไม่ เพราะ อย่างน้อยก็ขาดชื่อผู้วิจัยและอาจารย์พิมพ์ รวมทั้งชื่อที่ปากฎอยู่บางชื่อรู้สึกว่าจะมาตอนช่วงใกล้จะเลิกประชุมแล้ว แต่ไม่เป็นอะไรค่ะ นี่เป็นเพียงข้อสังเกตเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิติเตียนแต่อย่างใด ในส่วนของรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมนี้มีขอแก้ไข คือ ชื่อที่ 15 นางวราพร ตั้งสุวรรณ ผู้วิจัยได้ยินว่าขอเปลี่ยนตรงชื่อเป็นวรรณพรนะคะ (ขอสารภาพค่ะว่าได้ยินไม่ค่อยชัดเพราะนั่งอยู่ไกล ยังไงจะเข้าไปเช็คในเทปและวีดีโอที่บันทึกไว้อีกทีนึงก็แล้วกันนะคะ)
จากนั้นก็เริ่มเข้าวาระการประชุมค่ะ ซึ่งอยู่ในหน้าที่2 ของบันทึกการประชุม ขึ้นต้นมาก็พิมพ์ชื่อผู้วิจัยผิดซะแล้ว แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะ มักมีคน/หน่วยงานพิมพ์/เขียนผิดเป็นประจำ แม้กระทั่งลูกศิษย์ตัวเองยังเขียนผิดเลยค่ะ สำหรับวาระการประชุมในครั้งที่ผ่านมานั้นมีทั้งสิ้น 6 วาระ ผู้วิจัยทำหน้าที่เป็นประธานฯในวาระที่ 1 และวาระที่ 6 ค่ะ ส่วนวาระอื่นๆ ลุงคมสันในฐานะรองประธานฯเป็นผู้ดำเนินการต่อค่ะ เพราะ ผู้วิจัยติดภารกิจต้องไปเป็นกรรมการกองอำนวยการสอบที่คณะ (ขอออกมานานไม่ได้ค่ะ)
ในส่วนของวาระที่ 1 เรื่องที่ประธานฯแจ้งให้ที่ประชุมทราบ มีทั้งหมด 4 เรื่อง (ไม่ขอลงรายละเอียดนะคะ เพราะ เคยเล่าให้ฟังมาแล้ว)
มีผู้ขอแก้ไขในส่วนของหัวข้อที่1 คือ สถานที่จัดประชุม เนื่องจากในรายงานการประชุมระบุว่าในเดือนกุมภาพันธ์ จะจัดประชุมสัญจรที่บ้านเอื้อม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีการตกลงกันว่าจะจัดที่บ้านแม่พริก ส่วนบ้านเอื้อมจะเป็นเจ้าภาพในเดือนมิถุนายน ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยและรับรองให้มีการแก้ไข
สำหรับในส่วนของหัวข้ออื่นๆที่อยู่ในวาระนี้ไม่มีปัญหาอะไร มีการรับรองรายงานการประชุม (ผู้วิจัยอ่านไปแล้วรู้สึกยังไงบอกไม่ถูกค่ะ ยอมรับว่าจะตลกก็ไม่ใช่ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรนะคะ รู้สึกขำมากกว่าค่ะ เพราะ ในหน้าที่3 ของรายงานการประชุม เลขาฯกลับเขียนชื่อผู้วิจัยได้ถูกต้อง แต่ผู้วิจัยก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรนะคะ เพราะ เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย)
จากการที่ได้อ่านบันทึกการประชุม ผู้วิจัยขอตั้งข้อสังเกตเอาไว้สักหน่อยนึงนะคะ เป็นข้อสังเกตจากคนภายนอกนะคะ ซึ่งไม่ได้ตั้งใจที่จะตำหนิหรือชี้นำอะไร ข้อสังเกตนั้นก็คือ ผู้วิจัยเห็นว่าบันทึกรายงานการประชุมบางส่วนยังไม่ละเอียดพอ บางครั้งเขียนกำกวม ถ้าหากคนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมอ่านอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันได้ค่ะ ที่กล่าวเช่นนี้เนื่องจากตนเองเป็นผู้นำในการประชุมหัวข้อเหล่านี้เอง จึงจำได้ว่าไม่ได้พูดออกมาในลักษณะที่เขียนลงไปทั้งหมด ผู้บันทึกตัดตอนบางส่วนออกไป ซึ่งอาจทำให้คนที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมเกิดความเข้าใจผิดได้ ซึ่งในกรณีนี้ผู้วิจัยอยากบอกว่าเราต้องมอง 2 มุม จะได้ไม่เกิดความรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจกัน
มุมที่หนึ่ง คือ เวลาเราพูด คนอื่นฟัง การฟังของคนอื่นแล้วคนเหล่านั้นนำไปบอกต่อ เขียนต่อ แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถที่จะพูดหรือเขียนได้เหมือนกับที่เราถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด เนื่องจากเมื่อผ่านออกจากเราไปแล้ว คนฟังย่อมต้องมีการตีความสิ่งที่เขาได้ฟังหรืออ่านอีกทีหนึ่ง การตีความนี้จึงสามารถออกมาได้หลายแง่มุม ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศในขณะนั้น ทัศนคติของผู้ฟังที่มีต่อผู้พูด ฯลฯ ดังนั้น คนหลายคนที่ฟังคนใดคนหนึ่งพูดหรืออ่านเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกันก็อาจตีความไปได้หลากหลาย สำหรับทางแก้นั้น ผู้วิจัยก็คิดไม่ออกเหมือนกัน แต่ที่ผู้วิจัยใช้อยู่ คือ การอัดเทป แล้วพยายามแกะทุกคำพูดออกมา ส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงก็จะอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อที่เป็นความคิดเห็นก็จะอยู่อีกส่วนหนึ่ง
ส่วนในมุมที่สองนั้น ก็ต่อเนื่องหรืออาจเป็นมุมเดียวกันกับมุมที่หนึ่งก็ได้ค่ะ (เขียนเอง คิดเอง ก็งงเองเหมือนกันค่ะ) ผู้วิจัยเห็นว่าอาจมาจากการที่ผู้จดบันทึกฟังไม่ถนัด หรือไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้วิจัยพูดก็เป็นได้ค่ะ เพราะ เราไม่ได้ใช้ไมล์ จึงทำให้บันทึกตกหล่นไปพอสมควร
ข้อสังเกต รวมทั้งข้อคิดเห็นเหล่านี้ขอบอกผู้อ่านอีกครั้งหนึ่งนะคะว่าไม่ได้ตั้งใจตำหนิหรือมีความโกรธเคืองอะไรเลยนะคะ ผู้วิจัยเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตและแสดงความคิดเห็นในมุมมองของตนเองเท่านั้น ซึ่งผู้วิจัยคิดว่าในเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะมาตำหนิกัน ในทางตรงกันข้ามการแสดงความคิดเห็นของผู้วิจัยกลับทำให้ผู้วิจัยนั้นได้ข้อคิดขึ้นมาอีกอย่างน้อย 1 ข้อในเรื่องนี้ค่ะ ว่าต่อไปเวลาเราจะสื่อสารอะไรเราต้องมีความระมัดระวังให้มากขึ้น คงต้องกลับมาทบทวนตนเองและพยายามฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้มีทักษะในเรื่องการสื่อสารให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้ค่ะ เพราะ ทักษะที่สำคัญอย่างหนึ่งของคุณอำนวยก็คือ ทักษะในเรื่องการสื่อสารใช่ไหมค่ะ
ดังนั้น ก่อนที่เราจะสอนใครหรือเป็นตัวอย่างให้กับใคร เราต้องฝึกฝนตนเองก่อนเราจึงจะเป็น "ครู" ที่ดี ให้กับ "นักเรียน" ของเราได้
ไม่มีความเห็น