GotoKnow

เรื่องจริงของการโกหก

ป้าเจี๊ยบ
เขียนเมื่อ 19 มกราคม 2549 15:02 น. ()
แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2555 00:55 น. ()
"ในคอลัมน์ Life&Soul นิตยสาร Spice"

     โกหก..  แม้จะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย  ก็อาจมีผลกระทบที่ไม่คาดหวังตามมา

     ถ้าสวรรค์มีจริงและรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา  เมื่อใดที่เราพูดโกหก  เราก็น่าจะถูกลงโทษให้จมูกยื่นยาวออกมาทุกครั้งเหมือนพินอคคิโอ
     แต่ความจริงก็คือ  เวลาโกหกไม่มีใครมาลงโทษเราโดยตรง  และน้อยคนนักที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่โกหก  ส่วนใหญ่จะทำเพื่อรักษาน้ำใจของบุคคลอื่น  ไม่อยากทำร้ายความรู้สึก  หรือเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
     การโกหก  แม้จะเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ก็อาจมีผลกระทบที่ไม่คาดหวังตามมา และผลที่ว่านี้สามารถสร้างความเดือดร้อนได้มากกว่าการบอกความจริง  เมื่อคุณไม่สามารถที่จะแก้ไขเรื่องที่โกหกไปแล้วให้เกิดความถูกต้องได้  คุณก็จำต้องสร้างเรื่องโกหกต่อไปอีก  เพื่อให้สิ่งที่พูดไปแล้วดูน่าเชื่อถือ  ตรงนี้แหละที่ยาก
     เซอร์วอลเตอร์ สกอต  นักประพันธ์ที่ฉันชื่นชมพูดถึงการโกหกได้ถูกใจนัก เธอว่า  “O What a tangled web we weave. When first we practise to deceive”  การโกหกที่เราคิดว่า “ไร้อันตราย” จึงสามารถสร้างผลกระทบที่คาดไม่ถึง หรือความวุ่นวายแบบลูกโซ่ หรือแบบโยงใยพัวพันเป็นเขาวงกตได้

     เมื่อจำแนกการโกหกของคนเราออกเป็นรูปแบบต่างๆ จะพบว่ามีดังนี้  และเราทุกคนต้องเคยทำมาแล้วอย่างน้อยก็แบบหนึ่ง... ถ้าไม่โกหกตัวเอง?!?
 
     โกหกแบบแก้ตัว
     ลักษณะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมากที่สุดในภาวะการทำงาน  โกหกเพื่ออธิบายว่าทำไมงานจึงไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนด  หรือเกิดในสังคม เมื่อต้องการบอกปฏิเสธการเชิญชวน หรือหนีภาระความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
     กรณีที่ไม่ถือว่าหนักหนาสาหัสนักคือ การโกหกเพื่อให้ตนเองดูดีในสายตาคนอื่น แต่ที่สาหัสคือ การโกหกในที่ทำงานซึ่งแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบ ต้องการหลีกเลี่ยงการถูกว่ากล่าว หรือ ต่อว่า    หากเกิดความผิดพลาดในสถานการณ์การทำงาน  ไม่มีใครต้องการคำแก้ตัว  ยิ่งถ้าคำแก้ตัวนั้นถูกจับได้ว่าเป็นเรื่องโกหก  บุคคลนั้นก็จะไม่ได้รับความไว้วางใจอีกต่อไป และถูกมองว่าไร้เสมรรถภาพ
     ความผิดพลาดเป็นเรื่องที่มักแก้ไขได้  แต่เราไม่มีทางที่จะแก้ไขความรู้สึกของบุคคลอื่นที่มองว่าเราเป็นคนที่ชอบโกหกเพื่อเอาตัวรอดจากปัญหา
 
     โกหกแบบเบนเรื่อง
     การโกหกแบบนี้คล้ายกับแบบแรก เพียงแต่แทนที่จะอ้างโน่นอ้างนี่ เช่น รถติด  ไฟไหม้ ฯลฯ เป็นการโยนความผิดไปให้สิ่งอื่นหรือบุคคลอื่นที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คนที่เป็นแบบนี้คือพวกที่กลัวและขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่เชื่อว่าจะมีใครได้รับโอกาสครั้งที่สองเพื่อแก้ไขความผิด  ดังนั้นแทนที่จะยอมรับความผิด ก็ใช้การโกหกแทน
     การแอบอ้างเอาความคิด ผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มนี้ บางคนรับคำยกย่องชมเชยในสิ่งที่ตนเองไม่สมควรจะได้รับ  โดยโกหกตนเองว่าเหมาะสมที่จะได้  เลือกที่จะไม่แก้ไขความเข้าใจผิดนั้นโดยทำเฉย ปล่อยให้คนอื่นคิดว่าจริง
 
     โกหกแบบสร้างภาพลวงตา
     บางครั้งเราเปลี่ยนข้อเท็จจริงบางอย่างไปจากเดิมเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี ให้ผู้อื่นประทับใจ
     การโกหกแบบนี้มักจะเกี่ยวกับสิ่งที่เราเองขาดความมั่นใจอยู่เดิม อาทิ อายุ น้ำหนัก การศึกษา เงินเดือน ตำแหน่งการงาน ฯลฯ คนที่โกหกในลักษณะเช่นนี้จะเหมือนติดกับ   ดิ้นไม่หลุด   เพราะต้องโกหกต่อเนื่อง
     การแก้ไขที่ดีคือบอกความจริงไปซะ  ตัดเส้นใยของการโกหกให้ขาดสะบั้นลง  เพื่อนแท้จริงไม่เลิกคบกันเพราะเราเกิดเป็นลูกคนขับสามล้อ หรือเรียนจบโรงเรียนวัดหรอก แต่ถ้าจะมีคนคิดอย่างนั้น  เรายังจะคบเป็นเพื่อนอีกหรือ?
 
     โกหกโดยปิดบังข้อมูลบางส่วน 
     แบบนี้เกิดขึ้นมากในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน  เพื่อบิดบังความจริงที่จะทำให้เราไม่ได้ทำงานนั้น หรือการบอกความจริงไม่หมดเมื่อมีคนถาม  จนทำให้เกิดความเข้าใจผิด  หรือทำให้อีกฝ่ายสรุปไปเองในลักษณะที่ไม่ใช่ความเป็นจริง
     การโกหกเช่นนี้อาจทำร้ายหรือเป็นอันตรายกับคนอื่นที่รับข้อมูลแล้วไปตีความแบบผิดๆ หรือรับรู้ข้อมูลไม่ครบ   นอกจากนี้ การไม่บอกความจริงเมื่อมีคนโทษว่าเป็นความผิดของอีกคนหนึ่ง ทั้งๆที่เป็นความผิดของเรา ก็ถือว่าเป็นการโกหกด้วยเช่นกัน  แม้ว่าจะไม่พูดอะไร 

     โกหกแบบบริสุทธิ์ 
     โกหกด้วยการพูดให้ผู้อื่นรู้สึกดีเมื่อเรื่องจริงเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจ    นักจิตวิทยาเห็นด้วยว่า การโกหกแบบบริสุทธิ์ ซึ่งมีคำเรียกเฉพาะว่า โกหกสีขาว (white liar) บางกรณีก็เป็นสิ่งดี  เนื่องจากการพูดความจริงบางครั้งก็เป็นการทำร้ายจิตใจผู้อื่น  แต่หลายคนก็อยากได้ฟังความเห็นที่เป็นจริง แม้ว่าจะเจ็บปวดในใจ  

     การโกหก ไม่ว่าจะขาว เทา หรือดำ  มีผลกระทบต่อจิตใจทั้งสิ้น  ดังนั้นการได้สารภาพว่าโกหก
จึงเป็นความเจ็บปวดที่นำไปสู่ความสบายใจ  การโกหกเป็นกระบวนการที่ดูดพลังสมองและทักษะของคนเราไปใช้อย่างไม่ถูกทาง โดยต้องอาศัยพลังงานทางอารมณ์ปริมาณมาก 
     เอาพลังนี้ไปใช้สร้างสรรค์และพัฒนาชีวิตของเราเองโดยยึดนโยบายอยู่กับความจริงน่าจะดีกว่า  จริงมั๊ย?!?

คำสำคัญ (Tags): #ชีวิต 

ความเห็น

ไม่ระบุ
เขียนเมื่อ

ไม่ได้ตั้งใจที่จะโกหก แต่ไม่อยากที่จะพูดความจริง

เพราะ มันอาจทำร้ายจิตใจของทั้ง2ฝ่าย

รู้ตัวว่า ทำผิด สำนึกถึงการต้องโกหก มันทรมานจริงๆ

การที่เราต้องปิดบังความจริง ทั้งไม่สบายใจ และกังวล

ต่อไปนี้ ขอสัญญากับตัวเอง จะไม่โกหกอีก

มันเจ็บเหลือเกิน ที่ต้องโกหกคนที่ไว้ใจเรา

แต่ก้ไม่อาจให้เขาต้องไม่สบายใจ

ฉันขอโทษ สำนึกแล้วกับการต้องพูดเรื่องไม่จริง

................

เก๋น้อย
เขียนเมื่อ

เก๋เองก็โกหเกือบทุกแบบเลยค่ะ บางเรื่องก็เพราะจำเป็น จึงต้องโกหกค่ะ ^__^

ไม่ระบุ
เขียนเมื่อ

ฉันไม่เคยโกหกใครและรักใครก็รักจิง ไม่ทิ้งใครก่อน รักใครรักแน่นอน แต่ทามมายยโดนทิ้งก่อนทุกที แค่อยากจะถามเหตุผลใดที่เทอเบื่อฉันบอกให้เป็นรางวัลกับคนที่รักเทอหมดหัวใจ บางครั้งที่หัวใจโดนทามร้ายมันเจ็บจนปางตายเลยใช่ป่ะ และ การที่โกหกใครมันทามให้เราเจ็บฝั่งลึกอยู่ในใจฉันจะไม่ฟังใครแก้ตัวอีกต่อไป

ไม่ระบุ
เขียนเมื่อ

โดนเพื่อนใส่ร้าย หาว่าเราไปโกหกคนนู้คนนี้ จะให้ทำยังไงล่ะคะ

บอกใครไปก็ไม่มีใครเชื่อเลยสักคน ขี้เยจจะพูดอะไรทั้งนั้น

มันเหมือนเป็นการแก้ตัววววว

เพื่อนที่รักกันจริงเขาจะเอาเรื่องไม่จริงไปพูดกับคนอื่นให้คนอื่นมองเรา

ไม่ดีไม๊คะ

ป้าเจี๊ยบ
เขียนเมื่อ

สำรวจตัวเองดูนะคะว่า ทำไม "บอกใครไปก็ไม่มีใครเชื่อเลยสักคน"

ถ้ารู้จัก "ตัวเอง" เป็นอย่างดี อาจารย์แน่ใจว่าไม่มีอะไรต้องกังวลเลย

ไม่ระบุ
เขียนเมื่อ

โดนโกหกมาตลอดแล้วก๊รู้ตลอดว่าโกหกแต่ทำยังไงก็ไม่ยอมเลิกเค้าบอกว่าไม่ได้โกหกแต่สุดท้ายโกหกทุกทีไม่ใช่แค่โกหกแต่ทั้งผิดสัญญา ลืมบ้าง เจ็บปวดจังและสิ่งที่เจ็บที่สุดคือการถูกทิ้งให้รอคอยกับคำโกหก

ไม่ระบุ
เขียนเมื่อ

ตอนนี้รุ้สึกแย่มากทำไมเจอแต่เรื่องแบบนี้ หนูย้ายหอมาอยู่หลังมหาลัยอยู่ห้องแรกชั้นแรก มีระเบียงติกลานจอดรถคือห้องหนูอยู่ติดพื้นเลยเวลาคนเดินรึหนูทำอะไรที่ระเบียงก็จะเห็นคะ อยู่ไม่ถึงเดือนรุ้สึกเหมือนมีคนแอบดูตอนอาบน้ำเพราะห้องน้ำอยู่ข้างนอกที่เป็นระเบียง ตอนแรกก็แค่สงสัยคิดว่าระแวงไปเอง แต่เคยลองทดสอบหลายครั้ง โดยที่เวลาเปิดไฟห้องน้ำคือจะออกไปอาบน้ำต้องมีรถมอไซคันเดิมคนเดิมมาทุกเย็น จนบางครั้งกลัวจนไม่ได้อาบน้ำรออาบเช้า หนูก็สงสัยว่าเค้ารุ้ได้ยังไงว่าเราจะอาบน้ำจนคิดไปคิดมา รึว่าเปนลุงยามซึ่งลุงยามเค้าจะเฝ้ายุ่ป้อมติดกับห้องหนูเลยคือผนังห้องติดกัน วันนึงหนูจึงลองเปิดไฟห้องน้ำแล่วออกไปทำเหมือนจะอาบน้ำแล้วก็เปลี่ยนใจปิดไฟเหมือนไม่อาบทำแบบนั้นอยู่เกือบชั่วโมงเลย ทุกครั่งที่ปิดไฟเค้าจะขี่รถออกไป พอเปิดก็มาเหมือนเฝ้าดูเราตลอด แต่หนูยังไม่บอกในตึกเลย แต่โทรคุยกะพ่อแม่ตลอดว่าเหมือนคนแอบมองแต่ไม่รุ้ว่าใคร แล้วลุงยามคงได้ยินตอนโทรศัพท์มั้งค่ะหนูคิดว่า เค้าเอาเรื่องไปพูดว่าหนูหาว่าพี่ผู้ชายที่ยุ่ตึกเดีญวกันแอบดู หนูงงเลยค่ะ โดนผุ้ใหญ่ในตึกหาว่า ตอ...หนูรุ้สึกแย่มากว่าทำไมเค้าอายุ่ปูนนี้ถึงได้ไม่ปราณีหนูเลยทั้งที่เรื่องของเรื่องหนูก็ยังไม่ปริปากบอกใครเลย หนูไม่รุ้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายที่ขี่มอไซต์เป็นใครเค้าใส่หมวกกันน็อคตลอดอิอย่าง ไม่รุ้จักคนในตึกซักคน นอกจากป้าที่เป็นเจ้าของ กับยามเฝ้าหอ หนูไม่ได้โกหกแล้วก็ไม่ได้คิดว่าเป็นพี่คนนั้นเลย แต่ทำไมมันเป็นแบบนี้ อยากจะย้ายหอมากค่ะแต่ก็อยู่ยังไม่ถึงสองเดือน ทุกใจที่สุดเลยอยู่แบบอึดอัด ตอนนี้หนูยังไม่รุ่ว่าเป็นใครแต่คิดว่าคงเป็นยามที่มันทำเรื่องโกหก หนูไม่กล้าพูดหรืออธิบายเลย ยังไงหนูก็สู้เค้าไม่ได้อยู่คนเดียวอีก ทำไมเค้าใจร้ายจัง หนูไม่รุ้จะทำยังไง หอในกทมหายาก แล้ว เป็กทุกข์ที่สุดเลยปรึกษาใครก็ไม่มีแย่มาก เป็นผู้ใหญ่แต่ทำไมไม่คิดเลย ไม่เคยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ด่าอย่างเดียวด่าแบบหยาบคาย หนูแค่เด็กน้อย ทำไมเค้านิสัยแบบนี้ หนูคงต้องย้ายอิกแล่วแต่ต้องทนใครครบสองเดือน ค่ามัจจำก็แสนแพง หอในกทม หายากมาก จะไปยุ่หอหญิงก็ห้องน้ำรวม คิดไม่ตกเลย กรุณาช่วยแนะแนวทางหนู่หน่อยค่ะ

ป้าเจี๊ยบ
เขียนเมื่อ

เข้มแข็ง อยู่ต่อไป  ต้องหัดอาบน้ำแบบโบราณให้เป็น คนสมัยก่อนนุ่งกระโจมอกอาบน้ำกลางแจ้งยังทำได้  ไม่เห็นต้องกลัวเวลาใครมอง  ยิ่งนุ่งกระโจมอกอาบในห้องน้ำ ยิ่งไม่ต้องคิดมาก...


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย