หลังจากกลับจากหมู่บ้านคำปลาหลายแล้ว พวกเราได้แบ่งกลุ่มกันเพื่อย่อและย่อย สิ่งที่เราได้ไปเรียนรู้มาจากหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละกลุ่มได้เขียนออกมาเป็แผนภาพ และสะท้อนได้อย่างน่าฟัง ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
" หมู่บ้านคำปลาหลาย มีปัญหาความแห้งแล้ง ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ราคาผลผลิตไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลาง ขาดอำนาจการต่อรอง ทำให้เกิดความยากจน คนอพยพไปกรุงเทพ เหลือแต่คนแก่และเด็ก คนแก่หาอาหารให้เด็กกินตามยถากรรม เด็กขาดอาหาร สมองไม่ดี "
"ผู้นำในหมู่บ้านจึงคิดแก้ปัญหาโดยหาทีมพัฒนาหมู่บ้าน เริ่มที่ 10 ครัวเรือน ขุดสระ รอน้ำฝนจนเต็มสระ ปล่อยปลา เลี้ยงโค ปลูกพืชสวนผสม อยากกินอะไร ในชีวิตประจำวันต้องกินอะไรที่ไม่มีในธรรมชาติก็ปลูกอันนั้น เริ่มมีกิน เริ่มเหลือแบ่ง เริ่มมีไว้แลกกันกิน บเงก็เหลือพอขาย ชีวิตก็ดีขึ้นมีของดีๆกินโดยไม่ต้องซื้อ คนอื่นๆเริ่มเห็นว่าทำได้จริงเพราะ ผู้นำทำให้ดู จึงทำตามคนแก่ทำไม่ไหวจึงชักชวนคนหนุ่มสาวให้กลับจากกรุงเทพมาช่วยกันทำ เริ่มจากน้อยไปหามาก คนที่กลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลง ความอุดมสมบูรณ์ทมี่มากขึ้น เริ่มมีความหวัง โหยหาอิสรภาพในบ้านเกิดจึงทยอยกลับบ้าน จนเกือบหมด นี่แหละภูมิปัญญาชาวบ้านที่แท้จริง "
" แล้วมาร์ติน เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไร กลุ่มมีความคิดเห็นว่า มาร์ตินเปรียบเสมือนกับกระจกสะท้อน ที่ทำให้หมู่บ้านคำปลาหลายเห็นตัวตนของตัวเองชัดเจนขึ้น เปรียบเสมือนที่โบราณกล่าวว่า คนเรามักมองไม่เห็นตัวเอง เหมือนเส้นผมบังภูเขา มาร์ตินมาช่วยสะท้อนให้ชาวบ้านเห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นว่าหมู่บ้านของตัวเองนั้นดี มีของกิน ไม่ต้องซื้อหา การเป็นชาวนานั้นอิสระ และมีความสุขได้ "
"เมื่อผนวกรวมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน เราจึงได้เห็นภาพหมู่บ้านคำปลาหลายในวันนี้"
ไม่มีความเห็น