“...ประพฤติดี มีวินัย ใฝ่ความรู้
เชิดชูสถาบัน อันล้ำค่า
เด่นเด็ดเดี่ยวเกรียวกราวคราวกีฬา
สมค่า สมญา มหาธิคุณ...”
ท่อนสุดท้ายของเพลงมาร์ชจบลงเมื่อไม่นานมานี้เอง บรรยากาศเช้าวันใหม่แห่งการเล่าเรียนเริ่มขึ้นด้วยบรรยากาศแห่งความเย็นสดชื่นของปรอยฝนที่ปรายสายลงมา ผมนั่งคิดถึงบทเพลงเมื่อครู่อย่างจับใจ ครุ่นคิดถึงคำขวัญประจำโรงเรียนที่ว่า “ประพฤติดี มีวินัย ใฝ่ความรู้ เชิดชูสถาบัน” คิดไปถามตัวเองไปว่าจะทำอย่างไรให้เด็กนักเรียนเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะดังคำขวัญนั้น
สภาพปัญหาก่อนการพัฒนานวัตกรรม โรงเรียนมหาธิคุณวิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสระแก้ว เขต 1 เป็นโรงเรียนขยายโอกาสขนาดกลาง ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 1 ตำบลเบญจขร อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีจำนวนนักเรียนในปีการศึกษา 2550 รวมทั้งสิ้น 308 คน ครู 17 คน เมื่อปีการศึกษา 2549 ที่ผ่านมา ผู้อำนวยการโรงเรียน นายวิมล จันทนากร ได้มีนโยบายส่งเสริมให้นักเรียนทุกห้อง ทุกชั้น ท่องสูตรคูณ และบทอาขยานต่างๆ อย่างเป็นจริงเป็นจังเป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจนที่สุด โดยกำหนดให้ทุกชั้นเรียนต้องใช้เวลาหลังเสียงระฆังสัญญาณเลิกเรียน 15 นาที ในการท่องสูตรคูณและบทอาขยานต่างๆ ในระยะแรกๆเสียงที่ได้ยินจากแทบทุกชั้น จะเป็นเสียงของการท่องสูตรคูณและท่องจำนวนต่างๆของเด็กนักเรียนชั้นเล็กๆ เสียงท่องอาขยานเป็นทำนองเสนาะจะได้ยินเฉพาะห้องที่มีครูประจำชั้นเป็นครูเอกภาษาไทยเท่านั้น มันเกิดอะไรขึ้น ??? “นั่นคงเป็นเพราะว่าครูแต่ละคนมีความถนัดและความสนใจกันแตกต่างกัน” คือคำตอบที่ผุดขึ้นมากลางสมองที่ชัดที่สุดในขณะนั้น ในเมื่อครูประจำชั้นส่วนใหญ่ ไม่ถนัดที่จะพานักเรียนท่องอาขยานเป็นทำนองเสนาะได้ จึงจำเป็นจะต้องหาวิธีที่จะทำให้ทุกชั้นท่องบทอาขยานเป็นทำนองเสนาะให้ได้ แล้วจะเริ่มจากจุดไหนดี ???
การออกแบบนวัตกรรมเพื่อการพัฒนานวัตกรรม
= วิธีคิด
เมื่อเกิดคำถามที่ว่าจะทำอย่างไรให้นักเรียนท่องทำนองเสนาะอาขยานได้ และจะเริ่มจากจุดไหนดี ผมจึงตอบตัวเองว่าควรเริ่มต้นจากตัวเราก่อน ซึ่งขณะนั้นผมเป็นครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จึงพยายามฝึกหีดให้นักเรียนอ่านทำนองเสนาะให้ได้ก่อน....แต่จะสอนอย่างไรให้นักเรียนเป็นและเห็นผลเร็วที่สุด??? โดยสภาพทั่วไปของท้องถิ่นที่อยู่เท่าที่ผมสังเกตโดยสายตาปกติทั่วไปและจากการเยี่ยมบ้านนักเรียนจึงทำให้ผมทราบว่าแทบทุกครอบครัวจะมีสิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกัน นั่นก็คือ เครื่องเล่นวีซีดี ผมจึงได้ช่องทางในการที่จะให้นักเรียนได้ฝึกอ่านทำนองเสนาะที่บ้านของตนเองด้วยวิธีการทำเป็นคาราโอเกะ และเพื่อเป็นการส่งเสริมการอ่านอันเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองแล้ว ผมจึงได้จัดทำเอกสารประกอบกันขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับ
= วิธีสร้าง
1. การสร้างเอกสารประกอบ
- ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบทอาขยาน
- ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับการอ่านทำนองเสนาะ
- คัดเลือกบทอาขยานที่จะนำมาทดลองทำเป็นคาราโอเกะ
2. การสร้างคาราโอเกะ
- บันทึกเสียงการอ่านทำนองเสนาะโดยเลือกเอาบทดอกสร้อย เด็กน้อย ซึ่งเป็นอาขยานบทหลักของชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
- ขอความอนุเคราะห์จากครูเสน่ห์ สุวรรณศรี เจ้าหน้าที่ประจำห้องโสตฯของโรงเรียนผู้ผู้ดำเนินการตัดต่อ เรียบเรียง เป็นวีซีดีคาราโอเกะ
ขั้นตอนการดำเนินการพัฒนานวัตกรรม
หลังจากที่ดำเนินการสร้างเอกสาร และวีซีดีคาราโอเกะเรียบร้อยแล้ว ผมจึงทำการทดลองเครื่องมือ(นวัตกรรมที่สร้างขึ้นมา) โดยให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 20 คน เป็นกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย และทำการสุ่มอย่างง่ายอีกเพื่อแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน โดยให้กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มทดลอง และ กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มควบคุม แล้วทดสอบการอ่านทำนองเสนาะก่อนการทดลอง กลุ่มที่ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มทดลอง ให้นำวีซีดีที่สร้างไปศึกษาเองที่บ้านพร้อมทั้งเอกสารที่จัดทำขึ้นประกอบกัน โดยใช้เวลาศึกษา 2 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นกลุ่มควบคุมได้รับการสอนเฉพาะในห้องเท่านั้น หลังการทดลองผลปรากฏว่า กลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์หลังการทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเห็นผลว่าการให้นักเรียนไปศึกษาจากวีซีดีและเอกสารส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านสูงขึ้น จึงได้ดำเนินการให้นักเรียนทั้งชั้นที่เหลือยืมวีซีดีไปศึกษาที่บ้าน
ผลที่เกิดจากการดำเนินงานและสรุปผลการพัฒนานวัตกรรม จากการทดลองและการใช้นวัตกรรมอย่างเต็มรูปแบบแล้วผลปรากฏว่า
1. ผู้เรียนสามารถอ่านทำนองเสนาะ บทอาขยานได้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์
2. ผู้เรียนสามารถท่องจำบทอาขยานได้อย่างขึ้นใจ
3. ผู้เรียนมีความสนุกสนานและชื่นชอบการเรียนรู้ในรูปแบบดังกล่าว
4. โรงเรียนมีนวัตกรรมที่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เข้าถึงสุนทรียของบทประพันธ์
5. โรงเรียนมีนวัตกรรมตามโครงการหนึ่งโรงเรียนหนึ่งนวัตกรรม
การขยายผลและการเผยแพร่นวัตกรรม
= การขยายผล
ในปีการศึกษานี้ (2550) ผมได้มีโอกาสขยับขึ้นไปสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษา ทำให้ผมได้รับรู้ความจริงอันร้ายกาจที่แสนเจ็บปวด คือ นักเรียนเกือบร้อยละ 90 ไม่สามารถอ่านทำนองเสนาะให้เป็นทำนองเสนาะได้ ดังนั้นผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีที่ว่า “นักเรียนสามารถอ่านทำนองเสนาะ , ท่องจำบทประพันธ์ได้” คงเป็นผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง(ลมๆแล้งๆ)ที่ไม่สัมฤทธิ์ผลแน่ๆ ดังนั้นผมจึงมีแนวคิดที่จะทำคาราโอเกะทำนองเสนาะบทอาขยานสำหรับ ช่วงชั้นที่ 3 ขึ้นมาอี 1 ชุด และจัดทำคาราโอเกะ “ทำนองสนุก” สำหรับ ช่วงชั้นที่ 2 ด้วย
= การเผยแพร่ผลงาน
เนื่องจากเป็นผลงานที่อ่อนด้อยหนึ่ง เป็นผลงานที่ครูภาษาไทยบางท่านฟังแล้วบอกว่าก็งั้นๆหนึ่ง ผมจึงไม่ค่อยกล้าที่จะนำเสนอต่อสาธารณชนเท่าใดนัก แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังแอบๆเอาไปตั้งหลบมุมร่วมงาน 80 พรรษามหาราชา มหกรรมการศึกษา บูรพาภิวัฒน์ และแอบเอาไปตั้งหลบแดดที่ใต้ร่มมะม่วง ณ โรงเรียนบ้านหินกอง ในงาน พัฒนาสมองประลองปัญญา ในปีการศึกษาที่ผ่านมา
ไม่สำคัญจะมีงบประมาณหรือไม่ แต่ด้วยแรงใจที่อยากเห็นคุณค่าทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาทางภาษาของไทยให้คงอยู่สืบไป ผมพร้อมจะทำสิ่งที่ตนเองรักและถนัดเพราะเชื่อเสมอว่า ครู คือ แม่พิมพ์
สวัสดีค่ะอาจารย์
"เนื่องจากเป็นผลงานที่อ่อนด้อยหนึ่ง เป็นผลงานที่ครูภาษาไทยบางท่านฟังแล้วบอกว่าก็งั้นๆหนึ่ง ผมจึงไม่ค่อยกล้าที่จะนำเสนอต่อสาธารณชนเท่าใดนัก" อยากแลกเปลี่ยนแนวคิด เป็นความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งของคุณครูที่ว่าผลงานของเราไม่ดี กลัวว่าจะไม่มีคุณภาพเท่าคนอื่น และไม่ค่อยยอมเปิดเผยให้ใครได้รับรู้ แต่เชื่อเถอะว่า...เกือบทุกคนที่คิดอย่างนั้นแต่เขาก็ลองเปิดใจ เปิดตัว และมีความกล้าที่จะร่วมแลกเปลี่ยนทั้งสิ่งดี สิ่งด้อย สิ่งที่คิดว่าน่าจะมีหนทางปรับปรุงให้ดีขึ้น .....และผลงานนั้นเป็นสิ่งที่เราใช้เพื่อขจัดปัญหาที่เกิดได้ผลดี นั่นแสดงว่า...ผลงานคุณครูชั้นเยี่ยมแล้วค่ะเพราะแก้ปัญหาได้ตรงประเด็น ตรงตามวัตถุประสงค์ น่าชื่นชมมากค่ะ และจะคอยติดตามอ่านอีกนะคะ ขอให้โชคดีปีใหม่ มีแรงและพลังใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่อีกนะคะ