เพชร มโนปวิตร : รายงาน หลายคนที่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง An Inconvenient Truth คงรู้สึกตรงกันอย่างหนึ่งว่า อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน และอย่างน้อยที่สุดก็อยากให้ทุกๆ คนได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ คงจะไม่เป็นการเกินเลยไปนัก หากจะเรียกขบวนการดังกล่าวว่าเป็นภารกิจกู้โลก เพราะวิกฤตการณ์เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนนั้นเกิดขึ้นแล้วจริงๆ และกำลังส่งผลกระทบอย่างกว้างไกลเกินจินตนาการ
An Inconvenient Truth เป็นภาพยนตร์สารคดียาว ๑๐๐ นาทีที่ฉายให้เห็นวิกฤตการณ์สภาวะโลกร้อน (Global Warming) อย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง หนังไม่เพียงแต่นำเสนอข้อมูลวิทยาศาสตร์ได้อย่างมีพลังและน่าสะพรึงกลัว หากยังสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนดูได้อย่างน่าทึ่ง
หลังจากภาพยนตร์เข้าฉายในประเทศไทย ได้มีการจัดเสวนาเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนขึ้นหลายครั้ง และเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายนที่ผ่านมา ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้จัดฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ที่โรงภาพยนตร์สกาล่า พร้อมจัดกิจกรรมระดมความคิดเชิงวิชาการเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อน ซึ่งได้รับความสนใจจากนักศึกษาและบุคคลทั่วไปอย่างมาก
...................................................
| ภาพเปรียบเทียบปริมาณหิมะบนยอดเขาคิลิมันจาโร ในปี ค.ศ. ๑๙๗๐ (บน) และปี ค.ศ. ๒๐๐๐ (ล่าง) |
An Inconvenient Truth ดำเนินเรื่องโดย อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สมัย บิลล์ คลินตัน และผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปี ค.ศ. ๒๐๐๐ ที่แพ้การเลือกตั้งให้แก่ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ไปอย่างเฉียดฉิวและน่าเคลือบแคลง
กอร์เล่าว่าเขาเริ่มสนใจปัญหาสภาวะโลกร้อนมาตั้งแต่สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อศาสตราจารย์โรเจอร์ เรวีลล์ นักวิทยาศาสตร์คนแรกที่เริ่มตรวจวัดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ได้นำผลการตรวจวัดในปีแรกๆ มาบรรยายในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ผลการตรวจวัดดังกล่าวแสดงให้เห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นอย่างผิดปรกติของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าโลกกำลังมีปัญหา และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของมนุษย์
เดวิส กุกเกนไฮม์ ผู้กำกับหนังสารคดีเรื่องนี้นำเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของกอร์มาเป็นตัวดำเนินเรื่องคู่ขนานและตัดสลับไปมากับการนำเสนอข้อมูลอันหนักแน่นได้อย่างแยบคาย
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของกอร์ที่ทำให้มุมมองต่อโลกและชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาลคือ การที่เขาเกือบจะสูญเสียลูกชายสุดที่รักวัย ๖ ขวบไปกับอุบัติเหตุรถชนที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
หลังจากลูกชายของเขารอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ เขาได้ให้สัญญากับตัวเอง ๒ ข้อ หนึ่ง ให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อนเสมอ และสอง ให้ความสำคัญกับวิกฤตการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศเป็นอันดับแรกในชีวิตการทำงาน
|
อัล กอร์ ตระเวนเดินทางไปทั่วโลก เพื่อบอกให้ทุกคนรับรู้ถึงปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ |
หนึ่งในความสำเร็จที่กอร์ภูมิใจคือ การมีส่วนช่วยให้เกิดการบรรลุข้อตกลงของนานาชาติในพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๗ ซึ่งเป็นพันธกรณีให้ประเทศภาคีสมาชิกต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ แต่ที่เป็นความรู้สึกผิดในใจก็คือ เขายังไม่สามารถผลักดันให้สภานิติบัญญัติของประเทศที่เขาอาศัยอยู่ให้สัตยาบันต่อข้อตกลงนี้ได้
หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อปี ค.ศ. ๒๐๐๐ กอร์ยุติบทบาททางการเมืองและกลับมาเดินสายบรรยายเรื่องปัญหาโลกร้อนอีกครั้ง ตลอดช่วง ๖ ปีที่ผ่านมา เขาเดินทางไปทั่วโลก และระหว่างที่เขาเดินสายบรรยายอยู่ที่นครลอสแองเจลิส ลอรี่ เดวิด นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและผู้กำกับภาพยนตร์ ได้ชักชวนให้ เจฟฟ์ สกอลล์ ผู้บริหาร Participant Productions ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์ระดับคุณภาพ เข้าไปฟังการบรรยายครั้งนั้นด้วย ความคิดที่จะนำการบรรยายของกอร์มาทำเป็นภาพยนตร์จึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยให้สาระสำคัญที่เขาพยายามพร่ำพูดได้ส่งผ่านไปถึงคนในสังคมโลกได้รวดเร็วขึ้น
ปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องใหม่ ทว่าคนส่วนใหญ่ไม่เคยให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง กอร์ได้รวบรวมข้อมูลล่าสุดและหลักฐานต่างๆ จากทุกทวีป เพื่อลบล้างความเชื่อเก่าๆ ที่ว่า มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราจะสามารถสร้างผลกระทบที่สั่นสะเทือนไปถึงดินฟ้าอากาศได้อย่างไร
ความจริงก็คือชั้นบรรยากาศที่ห่มคลุมโลกและทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนั้น เปราะบางกว่าที่เราคิดมาก หากนำลูกโลกจำลองมาเคลือบเงา ความหนาของชั้นบรรยากาศเมื่อเทียบกับโลก ก็คือผิวเคลือบบางๆ ชั้นนอกเท่านั้นเอง กลุ่มก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) ในชั้นบรรยากาศ อาทิ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ และสาร CFC ล้วนมีบทบาทสำคัญในการดักจับความร้อน ซึ่งความจริงแล้วเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะด้วยก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้เองที่ช่วยให้โลกไม่กลายเป็นดินแดนน้ำแข็ง
อย่างไรก็ตาม โดยปรกติในธรรมชาติมีก๊าซเหล่านี้ในปริมาณน้อยมาก แม้แต่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่พบได้บ่อยที่สุด ก็ยังพบไม่ถึง ๔ โมเลกุลในทุกๆ ๑๐,๐๐๐ โมเลกุลของชั้นบรรยากาศ ความที่มันมีอยู่น้อยมากในธรรมชาตินี้เองที่ช่วยให้โลกเราไม่ร้อนจนกลายเป็นเตาอบ ข้อเท็จจริงสำคัญอีกประการที่หลายคนไม่รู้ก็คือ พลวัตของมวลก๊าซ ซึ่งว่ากันว่าภายในระยะเวลาเพียง ๑ สัปดาห์ คาร์บอนไดออกไซด์ที่คุณเพิ่งหายใจออกมานั้นอาจกลายเป็นอาหารให้แก่พืชในอีกทวีปหนึ่งแล้ว และด้วยเวลาไม่กี่เดือน คาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากมนุษย์สามารถไหลเวียนไปทั่วโลกได้อย่างสบายๆ ดังนั้นผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงเป็นปัญหาที่กระทบถึงคนทั่วทุกมุมโลก
ในหนังเรื่องนี้ กอร์เปรียบก๊าซเรือนกระจกเป็นวายร้ายที่คอยดักไม่ให้ความร้อนหนีกลับออกไปนอกโลก เมื่อวายร้ายมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนจึงถูกเก็บไว้ในชั้นบรรยากาศ เกิดเป็นสภาวะเรือนกระจกที่ทำให้อุณหภูมิโดยรวมสูงขึ้น ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกอยู่ที่ราว ๑๔ องศาเซลเซียส และมีแนวโน้มสูงขึ้น ๐.๖-๐.๘ องศาเซลเซียสทุกปี
|
การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ หนึ่งในกลุ่มก๊าซเรือนกระจก เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก |
กอร์อธิบายว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เกิดความต้องการใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งได้แก่ ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมไปถึงการสุมเผาอันเป็นวิธีตัดไม้ทำลายป่าแบบดั้งเดิม ล้วนแต่มีส่วนทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปรกติ เขาชี้ให้เห็นถึงความจริงข้อนี้อย่างชัดเจนในหนัง ด้วยการขึ้นไปยืนบนเครนไฟฟ้าที่ยกตัวขึ้นตามเส้นกราฟคาร์บอนไดออกไซด์ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วง ๔๐-๕๐ ปีมานี้ รวมถึงแนวโน้มในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า ข้อมูลนี้น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาข้อมูลย้อนกลับไปถึง ๖๕๐,๐๐๐ ปี ที่แม้ระดับคาร์บอนไดออกไซด์จะมีวงจรขึ้นๆ ลงๆ ตามยุคน้ำแข็ง ๗ ยุค แต่ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ที่ระดับคาร์บอนไดออกไซด์สูงผิดปรกติเช่นนี้
อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนคือ คนส่วนมากไม่แน่ใจว่า แท้จริงแล้วสภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาจริงๆ หรือเป็นเพียงการมองโลกในแง่ร้ายของนักวิทยาศาสตร์ช่างวิตกกลุ่มหนึ่งที่ทำให้คนตื่นตูมกันไปทั้งโลก
เพื่อยืนยันว่าโลกกำลังร้อนขึ้นจริงๆ กอร์ได้ฉายภาพเปรียบเทียบปริมาณหิมะในอดีตกับปัจจุบันของสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก เช่นที่เทือกหิมาลัยและคิลิมันจาโร ซึ่งมีปริมาณหิมะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เขาพาไปดูขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ที่แผ่นน้ำแข็งกำลังละลายและแตกออกอย่างไม่หยุดหย่อน ป่าแอมะซอนที่กำลังเสื่อมโทรม และธารน้ำแข็งทั่วโลกที่กำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว
ปัญหาโลกร้อนยังเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้สภาพภูมิอากาศทั่วโลกแปรปรวน เพราะอุณหภูมิในมหาสมุทรที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่อการไหลของกระแสน้ำที่เชื่อมโยงถึงกันหมด เขายืนยันด้วยข้อมูลทางสถิติของภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งภาวะน้ำท่วม ฝนแล้ง ไต้ฝุ่นหรือพายุเฮอริเคนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น โดยไม่ลืมที่จะเตือนให้ทุกคนนึกถึงเฮอริเคนแคทรีนา (Katrina) ที่เข้าถล่มเมืองนิวออร์ลีนส์เมื่อสิงหาคมปีที่แล้ว นับเป็นภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชนชาติอเมริกัน โดยได้คร่าชีวิตผู้คนไปเกือบ ๒,๐๐๐ คน และสร้างความเสียหายอีกกว่า ๘ หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
หากโลกยังร้อนขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดแผ่นน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกาหรือกรีนแลนด์อาจจะละลายลงทั้งหมด และนั่นหมายถึงเภทภัยที่ร้ายแรงที่สุดจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้น้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นกว่า ๖ เมตร โดยบริเวณที่จะได้รับผลกระทบนั้นมีตั้งแต่มหานครนิวยอร์ก เนเธอร์แลนด์ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง โกลกาตา (กัลกัตตา) และบังกลาเทศ
กอร์ยืนยันว่าประเด็นโลกร้อนไม่ใช่ข้อถกเถียงอีกต่อไป โดยได้รีวิวบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการทางวิทยาศาสตร์กว่า ๙๐๐ เรื่อง และพบว่าไม่มีชิ้นไหนเลยที่ให้ผลขัดแย้งหรือโต้เถียงว่าปรากฏการณ์โลกร้อนไม่ได้เกิดขึ้นจริง ทั้งต่างเห็นพ้องกันว่าสาเหตุหลักนั้นมาจากฝีมือมนุษย์ ถ้าเช่นนั้นความสับสนของคนในสังคมเกิดขึ้นได้อย่างไร
คำตอบอยู่ที่บทความประเภทแสดงความคิดเห็นที่ตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ซึ่งมีบทความกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์แสดงความเคลือบแคลงว่าสภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ แน่นอนว่าถ้าสังคมโลกโดยรวมยอมรับว่าสภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาจริงๆ และการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นสิ่งจำเป็นหรือกลายเป็นข้อบังคับ นั่นหมายถึงทุกคนบนโลกต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิต ซึ่งดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยน
สภาวะโลกร้อนจึงกลายเป็นข้อเท็จจริงอันน่าหดหู่ แต่การปฏิเสธความจริงหรือการไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็ไม่ใช่ทางออกของปัญหา
กอร์บอกว่าเขาเข้าใจดีถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องอาศัยเวลาในการทำความเข้าใจกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อนจะนำไปสู่การปฏิบัติ แต่บ่อยครั้งที่มันสายเกินไปจนเราต้องมานั่งเสียใจว่าน่าจะลงมือแก้ปัญหามาตั้งนานแล้ว
|
การละลายของน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือส่งผลต่อวงจรการหาอาหารของหมีขั้วโลก เนื่องจากปริมาณน้ำแข็งที่ลดลง ทำให้แมวน้ำซึ่งเป็นอาหารหลักของหมีขั้วโลก หายากขึ้นทุกที |
ก่อนจบ กอร์กระตุ้นให้เราตระหนักถึงศักยภาพของมนุษย์ในด้านดี เราขจัดโรคร้ายได้สารพัด เราเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์และสำรวจอวกาศ เราประสบความสำเร็จในการลดปริมาณสาร CFC--ก๊าซเรือนกระจกอีกตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดรูรั่วในชั้นโอโซน ซึ่งเป็นวิกฤตสำคัญเมื่อราว ๑๐ ปีที่แล้ว เขาย้ำว่าโลกได้ส่งสัญญาณเตือนภัยให้เรารับรู้แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตอบสนองอย่างไร
...................................................
สำหรับคนไทยที่รู้สึกว่าปัญหานี้ยังไกลตัว อยากให้ลองนึกถึงข่าวน้ำท่วม ภัยแล้ง ดินถล่ม ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและทวีความรุนแรงขึ้นทุกที สภาพอากาศวิปริตไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอีกต่อไป
บนเวทีระดมความคิดหลังจบการชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์สกาล่า เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายนที่ผ่านมา รศ. ดร. ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ส่งสัญญาณเตือนที่คล้ายกันว่า
“ในรอบ ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิเฉลี่ยในเอเชียสูงขึ้นราว ๑-๓ องศาเซลเซียส และจะเพิ่มขึ้นอีก ๒-๔ องศาเซลเซียสในรอบ ๑๐๐ ปีข้างหน้า ลักษณะการตกของฝนเปลี่ยนแปลงไป คือตกคราวละมากๆ จนเกิดน้ำท่วม มีการทิ้งช่วงเป็นเวลานานจนเกิดภัยแล้ง และเริ่มเห็นแนวโน้มว่ามีการย้ายที่ตก ในประเทศไทยมีเหตุการณ์น้ำท่วม ภัยแล้ง ดินถล่ม เพิ่มสูงขึ้นถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ พายุในมหาสมุทรแปซิฟิกก็เกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้นราว ๒๐ เปอร์เซ็นต์ สภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ เช่นเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวเมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลสูงเกิน ๓๓ องศาเซลเซียส นอกจากนี้ยังทำให้ปัญหาการกัดเซาะตามแนวชายฝั่งของบ้านเรารุนแรงมากขึ้น ในช่วง ๓๐ ปีที่ผ่านมาเราสูญเสียชายฝั่งรวมกันเป็นเนื้อที่กว่า ๑๒๐,๐๐๐ ไร่ ชายฝั่งบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑลถูกกัดเซาะมากถึง ๖๕ เมตรต่อปี ซึ่งหากไม่มีการดำเนินการใดๆ เราจะถูกน้ำทะเลรุกท่วมเข้ามาอีก ๖-๘ กิโลเมตรในอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า หรืออาจจะเร็วกว่านี้ถ้าปัญหาโลกร้อนเลวร้ายยิ่งขึ้น”
จรูญ เลาหเลิศชัย ตัวแทนจากกรมอุตุนิยมวิทยา เปรียบเทียบปรากฏการณ์เฮอริเคนแคทรีนากับไต้ฝุ่นในอ่าวไทยว่า “ในทางทฤษฎีบอกว่าจะเกิดไต้ฝุ่นขึ้นเฉพาะในทะเลที่ลึก ๕๐ เมตรขึ้นไป อ่าวไทยของเราลึกแค่ ๔๐ เมตรตอนที่เราเจอพายุเกย์เมื่อปี ๒๕๓๒ ตอนนั้นเราก็คิดว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอปี ๒๕๔๐ ก็เกิดไต้ฝุ่นลินดาอีก แสดงว่ามันไม่ได้บังเอิญแล้ว ประเทศไทยมีโอกาสเสี่ยงพอๆ กับที่อื่นๆ”
นายวราวุธ ขันติยานันท์ ผู้อำนวยการส่วนฝนหลวง สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร เล่าประสบการณ์ตรงจากการขึ้นบินทำฝนเทียมมาร่วม ๓๐ ปีว่า “สิ่งที่เห็นได้ชัดคือสภาพป่าที่ลดน้อยลงกว่าเดิมมาก อากาศร้อนแล้งขึ้น ไอน้ำลดลง ทำให้กลุ่มเมฆซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำฝนเทียมบางและไม่ค่อยรวมตัว อมความชื้นได้น้อย ทำฝนเทียมไปก็ได้ปริมาณฝนไม่เต็มที่ ต่อไปเราจะมีปัญหามากขึ้นแน่ๆ”
ส่วน ดร. วนิสา สุรพิพิธ ตัวแทนจากกรมควบคุมมลพิษ ได้เสริมว่า “หนังเรื่องนี้ให้น้ำหนักกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างมาก แต่ความจริงยังมีก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ โดยเฉพาะก๊าซมีเทน ที่แม้จะมีปริมาณน้อยกว่ามาก แต่มีความสามารถในการดักจับความร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง ๖๐ เท่า มีเทนเป็นก๊าซที่เกิดจากกิจกรรมทางการเกษตรและการฝังกลบขยะ ครั้งหนึ่งไทยเราก็เคยถูกโจมตีเรื่องการปล่อยก๊าซมีเทนในนาข้าว ซึ่งบางหน่วยงานก็กำลังให้ความสำคัญในการค้นคิดเทคโนโลยีเพื่อนำเอาก๊าซมีเทนดังกล่าวมาหมุนเวียนเป็นก๊าซหุงต้ม”
แม้การเสวนาจะให้เวลาน้อยไปสักนิดเมื่อเทียบกับจำนวนของผู้เชี่ยวชาญที่มากันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ก็ช่วยให้เราเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ความน่ากลัวในหนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นผลจากการใช้สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ และเทคนิคการตัดต่ออันเหนือชั้น หากแต่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหายนะที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ
ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ดูสนุกและให้ข้อคิดคมๆ มากมาย แต่ยังได้เตือนสติให้เราหันกลับมาคิดถึง “โลก” บ้านหลังสุดท้ายของมนุษย์ ความตื่นตัวในเรื่องสิ่งแวดล้อมดูเหมือนกำลังจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระดับปัจเจกไปจนถึงนโยบายและความร่วมมือของนานาชาติ ตั้งแต่คนตัวเล็กๆ ไปจนถึงนักการเมือง และนักธุรกิจพันล้าน
ล่าสุด ริชาร์ด แบรนสัน นักธุรกิจชาวอังกฤษผู้โด่งดัง เจ้าของสายการบิน Virgin Atlantic Airways และกิจการคมนาคมขนาดยักษ์ ประกาศจะบริจาคผลกำไร ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์จากการดำเนินงานทั้งหมดของบริษัทในเครือ Virgin Travel ในอีก ๑๐ ปีข้างหน้า ซึ่งคิดเป็นมูลค่าถึง ๓,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อลงทุนในการพัฒนาพลังงานทางเลือก
ริชาร์ดเผยว่า “ผมยอมรับว่าเคยคลางแคลงใจเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน แต่ผมก็ได้พูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน อ่านหนังสือหลายเล่ม และเมื่อไม่นานมานี้ อัล กอร์ ได้ให้เกียรติมารับประทานอาหารเช้าร่วมกับผม คำอธิบาย ๒ ชั่วโมงของเขาได้ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมารับรู้ความจริง ความจริงที่ว่าโลกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย ...แต่เรามีความรู้ มีเทคโนโลยี และทุกอย่างที่จำเป็นในการต่อสู้กับวิกฤตการณ์ด้านภูมิอากาศแล้ว จะขาดก็แต่เพียงความตั้งใจ”
คงเป็นจริงอย่างที่ อัล กอร์ ว่าไว้ ปัญหาโลกร้อนไม่ใช่ข้อโต้แย้งทางด้านวิทยาศาสตร์ หรือมุมมองที่แตกต่างกันในทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ ปัญหานี้เป็นเรื่องของคุณธรรม เพราะไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะสำคัญไปกว่าโลกที่เราอาศัยอยู่
วันนี้คุณพร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน พร้อมหรือไม่ที่จะเข้ามาร่วมในภารกิจกู้โลกครั้งนี้
อาจถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมกันพิสูจน์ว่า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คน” ควรค่าที่จะดำรงอยู่ต่อไป
หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ และเข้าร่วมในการแก้ปัญหาโลกร้อนได้ที่เว็บไซต์ www.climatecrisis.net
|
สมุทรปราการเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงที่สุดในประเทศไทย โดยในระยะเวลา ๓๘ ปีที่ผ่านมา มีพื้นที่ถูกกัดเซาะหายไป ๑๑,๑๐๔ ไร่ ทั้งนี้หน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่าพื้นที่ชายฝั่งสมุทรปราการจะถูกกัดเซาะอีกประมาณ ๓๗,๖๕๗ ไร่ในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า ในภาพคือวัดขุนสมุทราวาส อ. พระสมุทรเจดีย์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะของน้ำทะเล |
(ล้อมกรอบ) เริ่มต้นแก้วิกฤติโลกร้อนได้อย่างไร ๑. ประหยัดพลังงานทุกรูปแบบ - ปิดไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อไม่ใช้งาน โดยถอดปลั๊กออกด้วย เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนมากยังคงใช้ไฟอยู่แม้จะกดปิดแล้ว
- ใช้หลอดประหยัดไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ
- เดิน ขี่จักรยาน หรือใช้บริการรถขนส่งมวลชนแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว
- หากเป็นไปได้ให้ใช้พลังงานทางเลือก
๒. บริโภคให้น้อยลง ประหยัดให้มากขึ้น - คิดก่อนซื้อ เลือกใช้ของมือสองหรือซื้อของที่ใช้งานได้นาน นำของใช้แล้วมาใช้ใหม่
- ใช้กระดาษให้น้อยลง คิดก่อนสั่งพิมพ์
- ใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนกระดาษทิชชู
- ใช้ขวดน้ำส่วนตัวเพื่อลดการซื้อขวดน้ำพลาสติก
- กินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง
๓. มีส่วนร่วมในการรณรงค์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบาย - เรียนรู้เพิ่มเติมและติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับปัญหาสภาวะโลกร้อน
- บอกให้คนรอบข้างตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา
- ชักชวนให้สถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานที่สังกัดประหยัดทรัพยากร
- สนับสนุนบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
- สนับสนุนกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
|