ประการแรก การเร้าความสนใจให้ผู้เรียนมีความอยากรู้ อยากหาคำตอบ ลำดับต่อไปเป็นบทบาทที่สำคัญของครู คือ การใช้คำถามอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการคิดของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ จนสามารถเห็นแนวทางในการไปแสวงหาคำตอบ เช่น
- นักเรียนต้องการรู้อะไร- รู้เพื่ออะไร- จะไปทำอะไร ที่ไหน และอย่างไร
- ถ้าทำตามวิธีที่คิดไว้แล้วไม่ได้คำตอบ นักเรียนจะทำอย่างไรต่อไป หรือถ้าจะพัฒนา
- ให้งานค้นคว้าชิ้นนี้สมบูรณ์ขึ้น จะสามารถเพิ่มเติมหรือดัดแปลงอย่างไรได้บ้างคำถามต่อเนื่องเหล่านี้ จะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดอย่างเป็นระบบ ครูไม่ควรนำเรื่องของรูปแบบการเขียนรายงานหรือการจัดทำเอกสารมาทำให้ผู้เรียนขาดจินตนาการและสะดุดความคิดสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การชี้ประเด็นให้ผู้เรียนเห็นว่า “งานวิจัย” ไม่ใช่การเขียนข้อมูลขึ้นเอง ข้อมูลต้องเชื่อถือได้ กล่าวคือ ต้องเป็นข้อมูลจริง มาจากแหล่งข้อมูลที่สืบค้นได้ มีจำนวนข้อมูลมากพอที่จะสรุปได้ เป็นต้น บทบาทของครูนอกจากช่างซักช่างถามให้ผู้เรียนคิดอย่างต่อเนื่องแล้ว ครูต้องติดตามการทำงานของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด มีการเสริมแรงหรือกระตุ้นเป็นระยะๆการฝึกให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการวิจัย ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกวิธีทำเป็นข้อๆ 1-2-3 แล้วนักเรียนจะทำได้เลย แต่ครูต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ “ความเป็นครู” อีกบทหนึ่ง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการสอนด้วยกระบวนการวิจัย ไม่ใช่ชิ้นงานหรือรูปเล่มที่ผู้เรียนนำส่ง แต่คือกระบวนการที่ถูกปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าแฝงอยู่ส่วนใดของร่างกาย แต่กระบวนการดังกล่าวจะซ่อนอยู่ในตัวเด็กและสามารถถูกดึงออกมาใช้ได้ตลอดชีวิตไม่มีวันหมด ยิ่งถูกดึงออกมาใช้มาก ก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น และเป็นการสนับสนุนคำกล่าวที่ว่า…“ถ้าท่านสอนวิธีจับปลาให้เขา เขาจะมีปลากินตลอดชีวิต”
ครูนันทา ชุติแพทย์วิภา
โรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ไม่มีความเห็น