ทฤษฎีภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษ
(Chariamatic
Leadership) คำว่า
"Charisma" หรือ
"ความสามารถพิเศษ" มาจากภาษากรีก
หมายถึงบุคคลที่มีพรสวรรค์ที่สามารถทำงานได้สำเร็จ
อย่างน่าอัศจรรย์
ทั้งยังสามารถทำนายเหตุการณ์และคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
นัก
สังคมวิทยาอย่าง แม็กซ์ วีเบอร์ (Max Weber, 1947)
อ้างจาก ยุคส์ (Yukl, 1989:204) ได้อธิบายถึง
ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ (Charismatic
Leader)
ว่าเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลเหนือผู้ตามโดยไม่ได้อาศัยตำแหน่ง
อำนาจหน้าที่และประเพณีที่ยึดถือกันมา
หากอยู่ที่ความสามารถพิเศษของตัวผู้นำเองซึ่งก่อให้เกิดอำนาจบารมีผู้นำที่มีความสามารถพิเศษนั้นพบในการศึกษาผู้นำหลายประเภทโดย
เฉพาะผู้นำทางการเมืองทางศาสนาผู้นำที่นำชุมชนเคลื่อนไหวหรือต่อสู้เรียกร้องสิทธิบางประการ
แต่ไม่ค่อยพบเห็นผู้นำเช่นนี้ในองค์การทางธุรกิจ
หรือองค์การประเภทอื่น
ได้มีนักสังคมวิทยาและรัฐประศาสนศาสตร์พยายามอธิบายคำว่าCharismaโดยศึกษาเงื่อนไขที่ทำให้เกิดลักษณะหรือคุณสมบัติพิเศษเช่นนั้นใน
ตัวผู้นำจนทำให้มีภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษในที่สุดสิ่งที่โต้แย้งกันมากก็คือความสามารถพิเศษของผู้นำเกิดได้อย่างไรกันจากคุณลักษณะ
ของผู้นำเอง
เงื่อนไขของสถานการณ์หรือเพราะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและผู้ตามจากข้อโต้แย้งนี้ทำให้มีการศึกษาแตกต่างกันออกไปหลายแนว
ทางเพื่อหาคำตอบให้ได้เช่น การศึกษาคุณลักษณะสถานการณ์กระบวนการใช้อิทธิพลซึ่งกันและกันในการศึกษาวรรณคดีเกี่ยวกับภาวะผู้นำอย่างไรก็
ตามทุกวันนี้คำว่า Charisma หรือความสามารถพิเศษ
ยังคงถูกใช้หลายความหมายและการใช้แตกต่างกันแต่อย่างไรก็ตามยังมีความหมายที่แสดงให้
เข้าใจถึงว่าเกิดจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างการอยู่ร่วมกัน
หรือทำงานร่วมกันของผู้นำและผู้ตาม
1 ทฤษฎีภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษของเฮาส์
(House's Charismatic Leadership Theory)
เฮาส์(House,1977)ได้เสนอทฤษฎีที่อธิบายภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษที่ได้มาจากการสังเกตผู้นำในสังคมหลาย ๆ แบบทฤษฎีนี้ได้พบว่า
ภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษนั้นเกิดขึ้นอย่างไร
มีความแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร
และเงื่อนไขใดหรือที่ไหนที่ทำให้เกิดได้อย่างดี ซึ่งรวมถึง
คุณลักษณะของผู้นำ พฤติกรรม และเงื่อนไขของสถานการณ์
จึงทำให้ทฤษฎีครอบคลุม โดยได้สรุปให้เห็นกว้าง ๆ
ถึงลักษณะพิเศษของผู้นำที่ทำให้
เกิดภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษได้นั้น
ก็คือผู้นำที่ทำให้ผู้ตามมีความเชื่อหรือเกิดสิ่งต่อไปนี้ อ้างจาก
ยุคส์ (Yukl, 1989:205)
จากทฤษฎีจะเห็นได้ว่าภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษต้องการมีอำนาจ
มีความ มั่นใจและเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง
ความต้องการมีอำนาจ
ของผู้นำทำให้ผู้นำพยายามมีอิทธิพลเหนือผู้ตาม
โดยการพยายามมีพฤติกรรมหรือกิจกรรมร่วมกันมากและบ่อยครั้งขึ้น
การแสดงให้เห็นถึงการมีความเชื่อมั่นและมีความมั่นใจในตนเองของผู้นำจะทำให้ผู้ตามเชื่อมั่นในการตัดสินหรือวินิจฉัยงานและการสั่งการ
ต่าง ๆ สำหรับผู้นำที่ขาดทั้งความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองย่อมไม่สามารถจะสร้างอิทธิพลเหมือนคนอื่นได้และแน่นอนโอกาสจะประสบความสำเร็จ
ในการปฏิบัติงานก็ย่อมน้อยไปด้วย
ภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษจะเกิดขึ้นเมื่อผู้นำแสดงให้เห็นถึงความสามารถและความสำเร็จจนประทับใจลูกน้องฉะนั้นผู้นำต้องรู้จักมี
พฤติกรรมให้ลูกน้องเชื่อมั่นดังกล่าวให้ได้เพราะถ้าทำให้ลูกน้องเชื่อมั่นในความสามารถโดยเฉพาะในเรื่องการตัดสินใจ
ก็จะทำให้ลูกน้องยอมรับและ
ยินดีจะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำมากขึ้น
แต่หากขาดในสิ่งที่กล่าวมา ปัญหาต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นและการผิดพลาดในเรื่องการตัดสินใจ หรืออื่น ๆ
จะทำให้ผู้
ตามขาดความเชื่อมั่นในผู้นำ
และผู้นำจะมีอิทธิพลต่อผู้ตามลดน้อยไปเรื่อย ๆ
ผู้นำแบบความสามารถพิเศษเน้นความสำคัญที่เป้าหมายของงานแต่ก็ให้ความสนใจกับค่านิยมความคิดเห็นและแรงจูงใจร่วมกันของผู้ตามหรือผู้ทำ
งานโดยจะให้ผู้ทำงานรู้ถึงทิศทางในการทำงานว่าจะมุ่งไปทางไหน
ซึ่งทำให้คนทำงานรู้ว่าเขามีความสำคัญและงานของเขาทั้งหมดมีความหมาย
จึงทำ
ให้มีแรงดลใจและทุ่มเทแรงใจแรงกายร่วมกัน
สุดท้ายก็จะทำให้ผู้ทำงานทุกคน
เกิดการยอมรับในงานและจุดมุ่งหมายของงานร่วมกัน
ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษจะคำนึงถึงความคาดหวัง
และรับฟังความคิดเห็นของผู้ตามเข้าใจเงื่อนไขที่กำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้ตาม
รู้ลักษณะ
งานที่ต้องใช้ความสามารถแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตามก็ต้องทำให้ทุกงานมีความหมายอย่างมีคุณธรรม
ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษจะพยายามปฏิบัติ
ตนเป็นตัวอย่างแก่ผู้ตาม ไม่ใช่ให้แต่เลียนแบบ
แต่ให้รู้ถึงว่าผู้นำควรเป็นอย่างไร
เพื่อผู้ตามจะเอาอย่างความเชื่อและค่านิยมของผู้นำ
จากนี้ผู้นำก็
สามารถจะทำให้มีความพอใจ
และแรงจูงใจเมื่อต้องการให้เขามีพฤติกรรม
หรือปฏิบัติงานอย่างไร
ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษจะตั้งความหวังในการปฏิบัติงานไว้สูงในขณะที่ต้องแสดงให้ผู้ตามเห็นในความเชื่อมั่นของผู้นำต่อผู้ตามว่าจะต้องทำได้ผู้
นำที่มีอำนาจแห่งการเป็นเพื่อนหรือให้ความเป็นกันเองสามารถจะชักจูงให้ผู้ตามตั้งเป้าหมายของการปฏิบัติงานไว้สูง
และเพิ่มความเต็มใจในการยอม
รับหรือเห็นชอบในเป้าหมายนั้นร่วมกันอย่างไรก็ตามการยอมรับเป้าหมายจะไม่เกิดขึ้นถ้าผู้นำไม่แสดงความมั่นใจให้เห็นว่าเป้าหมายนั้นสามารถจะเป็น
จริงได้และเป็นเป้าหมายที่มีคุณค่าและน่าสนใจ
เพราะถ้าผู้ตามขาดความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามที่ผู้นำคาดหวัง
ก็จะไม่ยอมรับและจะลดความ
พยายามในการทำงานนั้น
ฉะนั้นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจจึงเป็นเครื่องมือส่งเสริมการทุ่มเทความพยายามของผู้ตามและเชื่อในความสำเร็จนั้น
ซึ่งงานวิจัยจำนวนมากก็
เห็นทำนองเดียวกันว่าผู้ตามจะทำงานได้สำเร็จมากขึ้นหากผู้นำแสดงให้เห็นว่าเชื่อมั่นในความสามารถของผู้ตาม
ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ โดยทั่วๆ
ไปจะมีพฤติกรรมที่ใช้กระตุ้นแรงจูงใจในกลุ่มงานต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
เช่น กระตุ้นแรงจูงใจในด้านความ
ต้องการความสำเร็จ จะต้องใช้กับงานที่ค่อนข้างซับซ้อนหรือยาก
งานที่ต้องการการท้าทายความคิดริเริ่มใหม่ ๆ งานที่ต้องเสี่ยงภัย
ความรับผิดชอบสูง
และต้องใช้ความมุมานะ อดทน
สำหรับแรงกระตุ้นจากอำนาจเหมาะสมสำหรับงานที่ต้องการใช้การแข่งขันกัน
งานที่ต้องการการชักจูงและก้าวร้าว คุก
คาม ส่วนการได้แรงกระตุ้นจากความเป็นเพื่อน ความเป็นกันเอง
เหมาะสำหรับส่วนที่ต้องการความร่วมมือระหว่างผู้ปฏิบัติงาน
งานที่ต้องเป็นทีมงาน
และพึ่งพาระหว่างกันตลอดเวลา
แรงจูงใจที่จะใช้ในการกระตุ้นผู้ทำงานนั้น
ยังต้องการการพูดที่สร้างแรงดลใจให้ลูกน้องเกิดค่านิยมว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
และควรปฏิบัติให้ได้ เช่น "ความภักดีหรือความรักในองค์การ"
"ต้องทำแต่สิ่งที่ดีที่สุด" "ชนะคู่แข่งให้ได้"
เป็นต้น
2 การศึกษาทฤษฎีของเฮาส์ เพิ่มเติมโดย แบส
(Bass's Extension of House's Theory) แบส (Bass,
1985:2-6) ได้เสนอผลการศึกษาต่อ
เนื่องจากทฤษฎีของ เฮาส์ ว่า
"ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ" นั้น
ไม่ใช่มีแต่ในด้านความเชื่อมั่นใจในความเชื่อมั่นตนเองเท่านั้น
แต่จะเชื่อว่าตนเองมี
ความมุ่งหมายและแรงดลบันดาลใจเหนือคนอื่นธรรมดาทั่ว ๆไป
สำหรับลูกน้องก็ไม่เพียงแต่ไว้ใจหรือยกย่องผู้นำเฉกเช่นธรรมดา
หากแต่ถึงขั้นบูชา
และเคารพสักการะในตัวผู้นำว่าเป็น ประดุจวีระบุรุษ
หรือตัวแทนของผู้มีปัญญาหรือผู้เสียสละ ซึ่งถ้ามองในภาพรวม
ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ จะ
เป็นกลไกในการกระตุ้นจิตวิทยาของกลุ่มให้มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องตลอดเวลา
ทำให้กลุ่มยอมรับในปทัสฐาน เกิดความเชื่อ และมีความฝันที่
สามารถสนองตอบต่ออารมณ์ และเหตุผลของคนในกลุ่มทุก ๆ
คน
แบสได้ชี้ให้เห็นว่า
ผู้นำแบบนี้จะแตกต่างจากผู้นำแบบอื่นตรง
มุ่งมั่นที่จะเป็นแบบอย่างที่ดี ยืดหยุ่น
เปิดโอกาสและขอร้องแทนการข่มขู่ ผู้นำจะมี
ลักษณะเป็นนักวิชาการหรือเชี่ยวชาญจนเป็นที่ยอมรับ
มีทักษะในการชักจูง ตอบสนองความต้องการของคนอื่นได้ ไม่ใช่ตามหน้าที่
หากแต่พิจารณาถึง
อารมณ์และความต้องการ ความเชื่อของเขาเหล่านั้นด้วย
ในทางตรงกันข้าม ผู้นำที่ไม่มีความสามารถพิเศษจะมีสิ่งต่าง ๆ
เหล่านี้ได้เหมือนกัน แต่
โดยการสร้างหรือกระตุ้นให้เกิดโดยการข่มขู่
หรือสร้างแรงกดดันต่างๆ ให้เกิดความกลัว
อันจะนำมาซึ่งการเกลียดชังไปในที่สุด ผู้นำที่มีความสามารถ
พิเศษ
ดูเหมือนจะเหมาะกับองค์การที่มีความตึงเครียดหรือมีการเปลี่ยนแปลง
อำนาจบารมีจะจำเป็นเมื่ออำนาจหน้าที่ของผู้นำใช้ไม่มีผลต่อกรณีวิกฤติต่างๆ
ค่านิยมและความเชื่อบางประการที่ยึดถือกันมานาน
ฉะนั้นจึงมักจะ
พบผู้นำแบบนี้ในองค์การเก่าที่กำลังล้มเหลว
มากกว่าในองค์การเก่าที่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม
แบสไม่ได้เสนอสิ่งหรือปัจจัยต่าง ๆ ที่ผู้นำ
แบบนี้ควรต้องรู้เพื่อให้สามารถมีภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษได้
3 ทฤษฎีภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษ คองเกอร์
และคานันโก (Conger and Kanungo's Charismaic Leadership
Theory)
คองเกอร์ และคานันโก
(Conger and Kanungo, 1987:637-647)
ได้เสนอทฤษฎีของภาวะผู้นำแบบความสามารถพิเศษ
บนพื้นฐานจาก
คุณสมบัติของผู้นำที่สังเกตเห็นได้
การศึกษาของเขาเป็นการสังเกตจากพฤติกรรมของผู้นำ
โดยทำการเปรียบเทียบระหว่างผู้นำที่มีความสามารถ
พิเศษ กับผู้นำที่ไม่มีความสามารถพิเศษ
เขาได้สรุปข้อค้นพบเกี่ยวกับคุณลักษณะและพฤติกรรมของผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ
(Charismatic
leaders) ที่
1. วิสัยทัศน์กว้างไกล (Extremty vision) คือ
ผู้นำที่เห็นความสำคัญในการมีวิสัยทัศน์ ไม่ใช่แต่เพียงจะทำการต่าง ๆ
ให้แค่สำเร็จตามหน้าที่เท่านั้น
การมีวิสัยทัศน์ย่อมต้องมีความกล้าในการปรับเปลี่ยน
ซึ่งก็จะขึ้นอยู่ว่าผู้ตามจะรับได้หรือตามได้ทันแค่ไหนด้วย
ผู้นำที่ขาดอำนาจบารมี ทั่วไปมักจะ
ทำแค่ให้ได้อยู่ในตำแหน่งเท่านั้น
จะคิดปรับเปลี่ยนก็เพียงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ถูกตำหนิได้
ไม่มีนโยบายหรือกลยุทธที่ชัดเจนพอ เป็นแผนงานอย่างเป็น
รูปธรรมให้ทุกคนได้รู้หรือปฏิบัติตามได้ อย่างไรก็ตาม
ถ้าผู้นำมีวิสัยทัศน์ที่ไกลเกินไป จนลูกน้องปรับเปลี่ยนและรับไม่ได้
ก็จะคิดว่าผู้นำเพี้ยนไป
หรือเพราะไม่มีความสามารถในการปฏิบัติงานในปัจจุบันไปเลย
2. กล้าเสี่ยง (High personal risk)
โดยทั่วไปผู้นำที่มีความสามารถพิเศษนั้นจะเป็นบุคคลที่ยอมเสียสละเพื่อกลุ่ม
เพื่อองค์การ กล้าเสี่ยง และให้
ความสำคัญของการมีส่วนในความสำเร็จร่วมกัน ไม่ใช่ของผู้นำเอง
ความเชื่อใจในลูกน้องจะมีให้เห็นในผู้นำแบบนี้
และลูกน้องก็จะเชื่อใจ
ผู้นำที่สนใจในความต้องการของลูกน้อง
ไม่ใช่เพื่อสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างเดียว
สิ่งที่จะประทับใจลูกน้องต่อการเสี่ยงของผู้นำก็คือ
การเสี่ยงถึงขั้นยอมที่จะสูญ
เสียตำแหน่งหน้าที่ ผลประโยชน์และมวลชนในองค์การไป
เพื่อความถูกต้องชอบธรรม
3. ใช้กลยุทธวิธีทุกรูปแบบ (Use of unconventional
strategies) คือผู้นำที่จะใช้กลยุทธวิธีรูปแบบต่างๆ
ไม่ติดยึดอยู่กับแบบใดแบบหนึ่ง เพื่อให้วิสัย
ทัศน์ร่วมกันของผู้นำและผู้ตามประสบความสำเร็จ
แม้ว่าบางยุทธวิธีจะสร้างแรงกดดันให้ผู้ตามมากว่าปกติก็ตาม
การปรับเปลี่ยนยุทธวิธีเพื่อสำเร็จจะ
เป็นคุณสมบัติของผู้นำชนิดนี้ ซึ่งผู้ตามจะสังเกตเห็นได้ชัดเจน
ซึ่งค่อนข้างจะชื่นชอบ เพราะแสดงว่าได้มีความสนใจติดตามการปฏิบัติงาน
รู้ถึง
อุปสรรค และปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว ทันการ และประการสุดท้าย
การแสดงถึงความตั้งใจ ทุ่มเทในการทำงานของผู้นำ
4. ประเมินสถานการณ์รอบข้างตลอดเวลา (Accurate
assessment of the situation) โดยทั่ว ๆ
ไปผู้นำที่จะเสี่ยงในเรื่องใดก็ตาม ย่อมต้องมีข้อมูล
ต่าง ๆ อย่างดี เพื่อจะได้รู้ถึงปัจจัยที่จะสนับสนุน
หรือขัดขวางการเสี่ยงในเรื่องนั้น ๆ โดยเฉพาะเรื่องเวลา
ผู้นำต้องเรียนรู้และมีทักษะในเรื่องความต้อง
การ ค่านิยม เท่า ๆ
กับปัจจัยรอบด้านนี้จะทำให้การเสี่ยงนั้นประสบความสำเร็จในเวลาที่เหมาะสม
ดังนั้น ผู้นำจะต้องประเมินสถานการณ์ให้มีข้อมูลที่
ถูกต้อง ทันสมัย ตลอดเวลา
5. เปลี่ยนความติดยึดของผู้ตาม (Follower
disenchantment) โดยทั่วไปหลายคนคิดว่า
ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษจะเป็นที่ต้องการ หรือเหมาะที่จะ
เกิดขึ้นเมื่อมีปัญหาที่วิกฤต แต่อย่างไร
พบว่าเหตุการณ์วิกฤตไม่ใช่เงื่อนไขของความต้องการผู้นำที่มีความสามารถพิเศษ
เพราะถึงแม้ไม่มีเหตุการณ์
วิกฤตก็เกิดขึ้นได้ เมื่อผู้นำต้องการเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติงาน
หรือเงื่อนไขการปฏิบัติงานใหม่
และกระตุ้นผลักดันให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ใหม่ โดยผู้นำ
ใช้กลยุทธวิธีต่าง ๆ
ที่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของผู้นำในการปฏิบัติงานที่ไม่ติดยึดหรือจำเจด้วยวิธีเดิม
เมื่อผู้ตามได้เห็นผลที่เกิดจากการใช้วิธี
การใหม่ที่ทำให้การทำงานมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพกว่าวิธีเก่าได้
ต่อไปผู้นำก็สามารถจะทำให้ผู้ตามไม่ติดยึด
หรือวนเวียนอยู่กับการทำงานแบบ
เดิม
และเริ่มจะยอมรับการทำงานที่มีการแสวงหาวิธีทำงานใหม่ที่แตกต่างไป
6. สื่อสารด้วยความมั่นใจ (Communication of
self-confidence) ผู้นำที่สื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ
ด้วยความมั่นใจดูจะเป็นที่ยอมรับว่ามีความสามารถ
พิเศษ มากกว่าผู้ที่สับสนและไม่มีความชัดเจน หรือคลุมเครือ
ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงกลยุทธด้านต่าง ๆ
จะไม่มีทางสำเร็จได้ด้วยความโชคดี
ของผู้นำไปทุกครั้ง หากเขาขาดการสื่อที่แสดงถึงความเชื่อมั่น
ความมั่นใจของผู้นำจะเป็นแบบอย่างของผู้ตาม
ความรู้สึกของผู้ตามที่เชื่อว่าผู้นำมี
ความรู้วิธีการที่จะทำให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ และเป้าหมาย
ย่อมตั้งใจทำงานหนัก เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของผู้นำ นั่นก็คือ
เพิ่มโอกาสของความ
สำเร็จของงาน
อันเนื่องมาจากการมีการสื่อสารด้วยความมั่นใจ
7. ใช้อำนาจส่วนบุคคล (Use of personal power)
โดยทั่วไปพบว่า ผู้นำที่มีความสามารถพิเศษชอบใช้อำนาจส่วนบุคคล
ซึ่งได้แก่อำนาจแห่งความ
เชี่ยวชาญ
และอำนาจแห่งความเป็นเพื่อนในการปฏิบัติงานให้เสร็จลุล่วง
ส่วนผู้นำที่ใช้อำนาจหน้าที่สั่งการให้ลูกน้องปฏิบัติงาน
แม้ว่างานจะเสร็จลุล่วง
ด้วยดี ผู้นำก็ดูเหมือนไม่มีความสามารถพิเศษใด ๆ
เปรียบเหมือนกับการที่ผู้นำสั่งการให้ลูกน้องช่วยกันหากลยุทธต่าง ๆ
และช่วยกันทำงาน แม้นลูก
น้องจะพอใจที่ได้มีส่วนร่วม แต่ผู้นำก็ไม่ได้รับการยกย่องใด ๆ
มากขึ้น
เพราะไม่ได้แสดงความเชี่ยวชาญให้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ตามได้
ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูล
ขอขอบคุณมากสำหรับข้อมูล ดิฉันนำข้อมูลดังกล่าวไปทำรายงานส่งอาจารย์ค่ะ
ช่วยเผยแพร่หลัก ทฤษฎีภาวะผู้นำทางวิชาการ หรือทางการเรียนการสอน (Instructional leadership)
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาครับ พอดีหาข้อมูลเชิงลึก เพื่อเอาไปทำรายงาน ป.โท
ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ หนูนำข้อมูลไปทำรายงาน มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ
จะไปอบรมผบต. มีงานให้ส่งก่อนอบรม ให้เขียนถึงความสามารถพิเศษ/ความชำนาญ/ความเชี่ยวชาญ ในเรื่องใด และมีประเด็นสำคัญอย่างไร ...นึกไม่ออกเลย จะเขียนอย่างไร? เพราะลักษณะงานที่ทำอยู่ คิดว่าใครๆ ก็ทำได้เหมือนกันถ้ามีประสบการณ์หรือได้ปฏิบัติเป็นประจำ ก็ไม่เห็นจะพิเศษตรงไหน
แต่ถ้าดูตามทฤษฎีที่คุณจรรยา (ชื่อเดียวกันเลยค่ะ) บันทึกนี้มันคือบุคลิก/พฤติกรรมที่แสดงความเป็นภาวะผู้นำที่แต่ละคนอาจมี มาก น้อย หรือไม่มีเลย แตกต่างกันไปใช่หรือปล่าว? คะ
ขอบพระคูณ ท่านผอ. ที่ให้ความรู้
ลูกศิษยืราชบุรี