1. ทฤษฏีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม
(Constructivism)
ทฤษฏีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม
(Constructivism
Approach) มีหลักที่สำคัญ
เกี่ยวกับการสอนและการเรียนรู้ คือ
ผู้เรียนจะต้องสร้างความรู้ (Knowledge) ขึ้นในใจเอง
ครูเป็นแค่เพียงผู้ช่วยหรือเข้าใจ
ในกระบวนการนี้
โดยหาวิธีการจัดการข้อมูลข่าวสารให้มีความหมายแก่ผู้เรียนหรือให้โอกาสผู้เรียนได้มีโอกาสค้นพบด้วย
ตนเองนอกจากนี้จะต้องสอนศิลปะการเรียนรู้ ให้ผู้เรียน
ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ลงมือกระทำเองไม่ว่าครูจะใช้วิธีสอนอย่างไร
(สุรางค์ โค้วตระกูล, 2541. หน้า 210)
พื้นฐานสำคัญของทฤษฏีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม
ทฤษฏีของ
พีอาเจต์และวิก๊อทสกี้ เป็นรากฐานสำคัญของทฤษฏีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม
ทั้งสองทฤษฏีเน้น
ความสำคัญของผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ลงมือกระทำ (Active) การเปลี่ยนแปลงทางพุทธิปัญญาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เรียนอยู่ใน
สภาพไม่สมดุลทางด้านพุทธิปัญญา (Disequilibration) เนื่องจากได้รับข้อมูลข่าวสารใหม่
ผู้เรียนจะเกิดการปรับและ
ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง เพื่อจะทำให้เกิดกระบวนการพัฒนาสมดุล
(Equilibration)
ขึ้น
นอกจากนี้พีอาเจต์และวิก๊อทสกี้
ต่างก็เห็นว่าการเรียนรู้มีคุณลักษณะทางสังคม คือ
เกิดขึ้นเพราะมีการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
ในเรื่องนี้มีการเสนอให้ใช้
การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
ในห้องเรียน
ทฤษฏีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยมมีหลักในการสอนว่าจะต้องเริ่มด้วยปัญหาที่ซับซ้อนและหาวิธีที่จะค้นพบคำตอบ
หรือแก้ปัญหาโดยมีครูเป็นผู้แนะแนวหรือช่วยเหลือ
ซึ่งเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปว่า “Top
– down processing” ซึ่งตรงข้าม
กับ “Bottom –
processing” ซึ่งเริ่มจากสิ่งที่ง่ายไปยาก
2. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบของบรูนเนอร์
บรูนเนอร์เป็นนักจิตวิทยาแนวพุทธิปัญญานิยมชาวอเมริกัน
ผู้ที่ยอมรับหลักการของ พีอาเจต์
บรูนเนอร์ใช้หลัก
พัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของมนุษย์มาสร้างทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบ
(Discovery Approach)
(สุรางค์
โค้วตระกูล, 2541; อ้างอิงจาก Bruner, 1860 ; 1966 ; 1971)
บรูนเนอร์เชื่อว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนมี
ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมซึ่งนำไปสู่การค้นพบการแก้ปัญหา
โดยครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมด้านข้อมูล วัตถุประสงค์ คำถาม
และตั้งความมุ่งหวังว่าผู้เรียนจะค้นพบคำตอบด้วยตนเอง
บรูนเนอร์เชื่อว่าการรับรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่เลือกรับรู้ตามความสนใจที่มนุษย์มีต่อสิ่งที่จะเรียนรู้
การเรียนรู้จึงเกิด
จากการค้นพบ
โดยมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรกผลักดันให้เกิดพฤติกรรมสำรวจสภาพแวดล้อม
และเกิดการเรียนรู้ขึ้น
วิธีการที่ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการค้นพบความรู้ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของผู้เรียน
ขั้นพัฒนาการที่บรูนเนอร์
เสนอมี 3 ขั้น คือเอ็นแอคทีป (Enactive) ไอคอนนิค (Iconic) และซิมโบลิค (Symbolic) ฉะนั้นวิธีการที่ผู้เรียนใช้เป็น
เครื่องมือในการค้นพบความรู้จึงแบ่งเป็น 3 วิธี
1) เอ็นแอคทีป (Enactive Mode) เป็นวิธีที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมโดยการสัมผัสจับต้องด้วยมือ
หรืออวัยวะของร่างกาย
2) ไอคอนนิค
(Iconic Mode)
เป็นวิธีที่ผู้เรียนสร้างจินตนาการ
หรือสร้างมโนภาพ(Imagery) ขึ้นในใจ
ได้โดยใช้รูปภาพแทนของจริงโดยไม่จำเป็นต้องสัมผัสของจริง
3) ซิมโบลิค
(Symbolic Mode)
เป็นวิธีที่ผู้เรียนใช้สัญลักษณ์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
สามารถเข้าใจสิ่งที่
เป็นนามธรรม หรือความคิดรวบยอดที่ซับซ้อน จึงสามารถที่จะสร้างสมมติฐาน
และพิสูจน์สมมติฐานได้
บรูนเนอร์กล่าวว่า แม้ผู้เรียนจะมีวิธีการเรียนรู้ด้วยการค้นพบ 3
วิธีโดยขึ้นอยู่กับวัยของผู้เรียนก็ตาม แต่ในชีวิต
จริงไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะพ้นจากความคิดขั้น เอ็นแอคทีป
หรือไอคอนนิคอย่างเด็ดขาด เพียงแต่ว่าผู้ใหญ่จะใช้สัญลักษณ์
เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้มากขึ้น การเรียนรู้ทักษะบางอย่าง
เช่น การขับรถ
ผู้เรียนยังต้องลงมือกระทำ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ขั้น
เอ็นแอคทีป
บรูนเนอร์เห็นด้วยกับพีอาเจต์ว่า
คนเรามีโครงสร้างสติปัญญา (Cognitive
Structure)มาตั้งแต่เกิด
ในวัยทารก
โครงสร้างสติปัญญายังไม่ซับซ้อนเพราะยังไม่พัฒนา
ต่อเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมจะทำให้โครงสร้างสติปัญญามีการ
ขยายและซับซ้อนขึ้น หน้าที่ของโรงเรียนคือ การช่วยเอื้อการขยายโครงสร้างสติปัญญาของผู้เรียน
บรูนเนอร์ได้ให้หลักการ
เกี่ยวกับการสอน คือ
1)
กระบวนการความคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่
ผู้สอนควรมีความเข้าใจกระบวนการคิดของผู้เรียน
แต่ละวัย
2) เน้นความสำคัญของผู้เรียน
ถือว่าผู้เรียนจะสามารถควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองได้ (Self
Regulation) และเป็นผู้ที่จะริเริ่มลงมือกระทำ
ผู้สอนมีหน้าที่จัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้โดยการค้นพบ
ให้ผู้เรียนได้
มีโอกาสมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
3)
ในการสอนควรเริ่มจากประสบการณ์ที่ผู้เรียนคุ้นเคย
หรือประสบการณ์ใกล้ตัว
ไปหาประสบการณ์ไกลตัว
(สุรางค์ โค้วตระกูล. จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2541)
อ้างอิงจาก...
http://www.wichai.info/docu/construct.htm