วันนี้ ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของ อ.เกียรติวรรณ อมาตยกุล เรื่อง สอนให้เป็นอัจฉริยะ ตามแนวนีโอฮิวแมนนิส ทำให้ต้องสะดุดใจและขบคิดถึงบางประเด็นในวัฒนธรรมความเชื่อของชนเผ่าที่กำลังเรียนรู้
อาจารย์พูดถึงการศึกษาแนวนีโอฮิวแมนนิสและการพัฒนาส่วนต่างๆ ของชีวิต โดยอธิบายถึงส่วนต่างๆ ที่มีส่วนในพัฒนาการของเด็ก สู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ตั้งแต่ร่างกาย - จิตใจ อันประกอบด้วย
จิตสำนึก : ความรู้สึกของคนเรา
จิตใต้สำนึก : ความจำ ความรู้ ความคิดต่างๆ
จิตเหนือสำนึกระดับแรก : แหล่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์
จิตเหนือสำนึกระดับที่สอง : การหยั่งรู้เอง
จิตเหนือสำนึกระดับที่สาม : ความรักและความเมตตาที่ยิ่งใหญ่
ฉันเคยสนใจศึกษาเรื่องราวของ Shaman ในชนเผ่าอาข่า ที่มีบทบาทคล้ายคนทรงของคนไทย ในแง่การเชื่อมโยงกับโลกเหนือธรรมชาติ เพื่อเยียวยาความทุกข์ของคนที่มาขอความช่วยเหลือในแง่ต่างๆ ทั้งความเจ็บป่วย การพลัดพราก เป็นต้น
แต่สำหรับ Shaman ของชนเผ่าอาข่า หรือที่เรียกว่า "นี้ผะ" จะต่างกับคนทรงตรงที่ไม่ได้เป็นร่างทรงให้เจ้าองค์ใดๆ มาลง แต่จะทำพิธีกรรมคล้ายๆ กับถอดวิญญาณของตนออกจากร่าง เพื่อไปในอีกโลก ที่ภาษาอาข่าเรียกว่า "เมืองผี" เพื่อไปติดตามดูวิญญาณที่หายไป อันเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย และเจรจาต่อรองให้หายป่วย หรือดูว่าบุคคลอันเป็นที่รักที่ตายไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีไหม หรือดูสาเหตุและวิธีการแก้ไขการไม่มีบุตร เป็นต้น
จุดที่คล้ายคลึงกับที่ อ.เกียรติวรรณ อธิบายถึงจิตเหนือสำนึกระดับที่สอง หรือการหยั่งรู้เอง ที่อาจารย์ยกตัวอย่างถึงเด็กสี่ขวบ ที่เดินซื้อของอยู่กับแม่ที่หนึ่ง แต่รู้ได้ว่าพ่อกำลังอยู่ที่บ้านและกินแอปเปิ้ลอยู่ ซึ่งแม่ไม่เชื่อเพราะเป็นเวลาทำงาน แต่พอโทรกลับบ้านกลับพบว่าเป็นจริงดังที่เด็กบอก ซึ่งการหยั่งรู้ชนิดนี้ เป็นการทำงานของจิตเหนือสำนึกระดับที่สอง
อ.กล่าวถึงงานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า เด็กเล็กๆ มีความหยั่งรู้เองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว โดยจะมีสูงสุดเมื่ออายุ 4 ขวบ และจะค่อยๆ จางหายไปตอนใกล้อายุ 8 ขวบ ซึ่งมักเนื่องมาจากการที่เด็กต้องใช้สมองซีกซ้าย อันได้แก่ด้านความจำ เหตุผล หรือวิชาการต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น
ในกรณี "นี้ผะ" หรือ shaman ของชาวอาข่า ซึ่งในอดีตชีวิตส่วนใหญ่ผูกพันกลมกลืนกับธรรมชาติบนดอยสูง โดยไม่มีโลกของวิชาการภายนอกเข้ามาทำให้สมองซีกซ้ายต้องทำงานหนัก คงจะมีส่วนทำให้พวกเขาบางคนที่ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่นี้ มีความหยั่งรู้เองได้อย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุดเพียงวัยเด็ก อันทำให้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ทั้งในโลกปกติและโลกเหนือธรรมชาติตามความเชื่อของพวกเขา
บางที ความลึกลับของความเชื่อตามวัฒนธรรมดั้งเดิมที่อธิบายได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์เช่นนี้ อาจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจวิธีคิด เพื่อการก้าวเดินต่อในโลกปัจจุบันอย่างมี "ราก" ทางวัฒนธรรม
ขอบคุณ อ.ปัทมาวดี ที่กรุณาส่งหนังสือ "เท่าทันทุนนิยม" มาให้ เลยได้ติดตามอ่านหนังสือของ อ.เกียรติวรรณต่ออีกหลายเล่มเลยค่ะ
สวัสดีครับคุณ pilgrim
ขอบคุณครูนง เช่นกันค่ะที่แวะเข้ามาแบ่งปัน
รู้สึกดีใจมากค่ะที่คนดังๆ ของ gotoknow แวะเข้ามาเยี่ยมเยียน แถมยังรู้จักหลายๆ ท่านที่เราแอบชื่นชมอยู่ด้วย