ทางเข้ามัสยิดบางหลวง
ชุมชนสุดท้าย คือ ชุมชนอิสลาม หรือชุมชนกุฎีขาว มีมัสยิดบางหลวงเป็นศูนย์รวมจิตใจ
ชุมชนอิสลาม กลุ่มนี้ เริ่มมาตั้งแต่หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310 โดยพม่าได้กวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินไปเกือบหมด ทำให้ชุมชนอิสลามในอยุธยาละถิ่นฐานอพยพจากกรุงเก่าเดินทางมาสู่กรุงธนบุรีศรีมหาสุมทร โดยขณะนั้น มีชาวอิสลามพำนักอยู่บริเวณบางอ้อ บางพลัด และบางกอกน้อย อยู่แล้ว ในที่สุดอิสลามกลุ่มนี้จึงได้มาลงหลักปักฐานสร้างแพอยู่บริเวณ 2 ฝั่งคลองบางกอกใหญ่ และจากคำบอกเล่า บริเวณคลองบางหลวงแห่งนี้ เคยมีมัสยิดหรือสุเหร่า ที่ก่อสร้างด้วยไม้ ชื่อ กุฎีแดง และพบสระอาบน้ำละหมาดขนาดเล็ก กว้างยาวด้านละ 3 วา จึงสันนิษฐานว่า ในช่วงเวลานั้น มุสลิมนิกายสุหนี่ได้สร้างมิสยิดกุฎีแดงนี้ขึ้น เพื่อประกอบศาสนกิจบนฝั่งคลองนั่นเอง
ต่อมาระหว่างปี พ.ศ. 2310 – 2325 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสินมหาราช) ได้กอบกู้ชาติได้สำเร็จและตั้งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเป็นราชธานีแทนกรุงศรีอยุธยา พร้อมกับพระราชทานยศให้ข้าราชการชาวมุสลิมที่ร่วมกู้ชาติ โดยหัวหน้ามุสลิมได้เป็น “เจ้าพระยาจักรี” และแม่ทัพเรือมุสลิมเป็น “พระยาราชบังสัน”
ช่วงปี พ.ศ. 2325 เมื่อสิ้นแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ขึ้นครองราชย์และย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีมาตั้งเมืองบางกอกเป็นราชธานีใหม่ นามว่า “กรุงเทพมหานครฯ”
หลังครองราชย์ 3 ปี ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ที่บริเวณแพ 2 ฝั่งคลองบางกอกใหญ่ เริ่มมีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงได้ย้ายขึ้นบก มาสร้างที่อยู่อาศัยฝั่งตรงข้ามวัดหงส์ ยาวตลอดไปถึงคลองวัดดอกไม้หรือคลองบุปผาราม และสันนิษฐานว่า ศาสนสถานกุฎีแดง อาจจะชำรุดหรือเสื่อมโทรม จึงมีการสร้างมัสยิดขึ้นมาใหม่ โดยพ่อค้ามุสลิมในหมู่บ้านชื่อ “โต๊ะหยี” รวมสมัครพรรคพวกก่อสร้างมัสยิดทรงไทยก่ออิฐถือปูนทั้งหลังขึ้น และให้ชื่อว่า “มัสยิดบางหลวง” และขยายเป็นชุมชนมัสยิดบางหลวงในเวลาต่อมา
มัสยิดบางหลวง เป็นแห่งเดียวที่ไม่ได้ก่อสร้างมัสยิดตามพิมพ์นิยมทั่วไป (มีหลังคารูปโดมและมีสัญลักษณ์ดาวกับเดือนเสี้ยวประดับอยู่) และนับได้ว่าเป็น “มัสยิดก่ออิฐถือปูนแห่งเดียวในโลกที่เป็นทรงไทยทั้งหลัง” ซึ่งอิหม่ามประจำมัสยิดบางหลวง บอกว่า “มิสยิดไม่จำเป็นต้องเป็นรูปโดม อาคารสถานที่ทุกอย่างไม่ได้มีกฏเกณฑ์ว่าต้องสร้างอย่างไร แต่แก่นแท้ที่สำคัญจริงๆ นั่นคือ ชาวมุสลิมยึดมั่นในพระอัลเลาะห์องค์เดียว”
ภายในมัสยิดบางหลวง
มัสยิดบางหลวง ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
บันไดทางขึ้นทั้ง 2 ข้าง มีลวดลายศิลปไทยพลสิงห์และบังขั้น
พื้นหน้ามุขปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์
ขณะที่หน้าบันมีลักษณะของศิลป 3 ชาติ คือ
1. กรอบหน้าบัน
(ศิลปไทย) เป็นเครื่องลำยองประดับห้ามลายไว้บนยอด
2. ใบหน้าบัน
(ศิลปฝรั่ง) เป็นปูนปั้นลายก้านแย่งใบฝรั่งเทศ
3.
ดอกไม้เป็นดอกเมาตาล (ศิลปจีน)
ซึ่งลายศิลป 3
ชาตินี้
ได้นำมาประดับที่กรอบประตูและหน้าต่างทุกบานของมัสยิด
ส่วนตัวอาคารที่เป็นปูนทาสีขาวล้วน
(จึงเป็นที่มาของชื่อว่ากุฎีขาว) ส่วนที่เป็นไม้ทาสีเขียว
แม้ว่าตัวอาคารจะสร้างเป็นทรงไทย แต่ผู้สร้างได้สอดแทรกหลักการทางศาสนาอิสลามไว้ด้วย
คือ มีเสาค้ำยันชายพาไล จำนวน 30 ต้น
(เท่ากับบทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งมี 30
บท) ห้องละหมาดมี 12 หน้าต่าง 1 ประตู
รวมเป็น 13 ช่อง (เท่ากับกฎละหมาด 13 ข้อ)
และแบ่งพื้นที่แยกไว้สำหรับหญิงและชาย
เนื่องจากห้ามละหมาดร่วมกัน
ภายในมัสยิดบางหลวง
ปัจจุบันชาวมุสลิมส่วนมากประกอบอาชีพรับราชการและทำงานตามหน่วยงานเอกชน บริษัท ห้างร้านทั่วไปตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม ส่วนเยาวชนในชุมชนเข้าเรียนตามระเบียบปกติของกระทรวงศึกษาธิการ แต่เมื่อกลับมาจากโรงเรียน ผู้ปกครองจะปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่นกันเพื่อพักผ่อนตลายอารมณ์ ก่อนจะเข้าเรียนหลักศาสนาอิสลามและภาษาอาหรับต่อไป
โปรดติดตามตอนต่อไป
หญิง สคส.
ไม่มีความเห็น