วันนี้กับพรุ่งนี้เป็นวันที่ทางทีมประสานงานจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (โดยคุณภีม และทีมงาน) ได้มีการจัดอบรมให้กับนักวิจัยและคุณอำนวยของ 5 พื้นที่ คือ สงขลา ลำปาง ตราด นครศรีธรรมราช และสมุทรปราการ บรรยากาศเป็นไปด้วยความสนุกสนาน เป็นกันเอง คุณทรงพลซึ่งเป็นวิทยากรให้ความกระจ่างในหลายเรื่อง ยกตัวอย่างก็เข้าใจง่าย เอาไว้วันต่อๆไปจะเล่าให้ฟังนะคะ สำหรับเรื่องเล่าในวันนี้จะขอพูดต่อเกี่ยวกับประเด็นการประชุมประจำเดือนของเครือข่ายฯ ซึ่งเหลืออยู่อีก 2 เรื่องที่ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง คือ เรื่องเตรียมงานตำบลละแสน และเรื่องโครงการขยายผล
สำหรับเรื่องตำบลละแสนนั้น ขอเท้าความสักนิด (นิดเดียวนะคะ เพราะ ยอมรับว่าไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่) เท่าที่ทราบเงินตำบลละแสนนั้นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ คือ พอช. โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญที่องค์กรการเงินชุมชนต้องปฏิบัติเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนก็คือ
1.ต้องเป็นการรวมตัวกันในระดับตำบล โดยองค์กรต้องมีจำนวนสมาชิก 600 คนขึ้นไป (เดิมทีคุณสามารถขอกว่าต้อง 80 % ของพื้นที่ แต่ต่อมา พอช.ก็อนุโลมให้เป็น 600 คนขึ้นไป)
2.ต้องมีการเชื่อมประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเห็นชอบและให้การสนับสนุนนั่นเอง (ตรงกับเป้าหมายของการจัดการความรู้เครือข่ายฯเลยค่ะ)
3.องค์กรต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ชัดเจน สามารถตรวจสอบได้ องค์กรต้องตั้งมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน และต้องมีการจัดสวัสดิการแล้ว
ขอสารภาพตามตรงค่ะว่าความจริงในเรื่องกฎเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อนี้ ผู้วิจัยไม่เคยทราบมาก่อน จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังงงอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องของจำนวนสมาชิก เพราะ จากการสอบถามจากพื้นที่ที่ได้รับเงินหนุนเสริม (บางพื้นที่) แล้ว พื้นที่นั้นบอกว่าทาง พอช.ไม่ได้กำหนดจำนวนสมาชิกที่ตายตัวแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าความจริงแล้วเป็นอย่างไร (ถ้าคนที่เข้ามาอ่านทราบเรื่องนี้ขอความกรุณาเขียนแจ้งให้ทราบเพื่อเป็นวิทยาทานด้วยนะคะ จะขอบคุณมากค่ะ)
ในส่วนของเครือข่ายองค์กรออมทรัพย์ชุมชนจังหวัดลำปางนั้นเคยส่งเรื่องเข้าไปเพื่อขออนุมัติงบประมาณหนุนเสริมแล้วครั้งหนึ่ง ส่งเข้าไปทั้งหมด 10 ตำบล แต่ครั้งนั้นทราบว่าอนุมัติเพียง 5 ตำบล ทางเครือข่ายฯจึงปฏิเสธที่จะรับการหนุนเสริม ในครั้งนี้จึงส่งเข้าไปใหม่ (จำได้ว่าทำข้อมูลกันแทบแย่ ผู้วิจัยก็ได้เข้าไปร่วมช่วยชาวบ้านทำด้วย) ผลปรากฏว่า ในครั้งนี้ได้รับการอนุมัติในหลักการ (ยังไม่ได้โอนเงินมาให้) ทั้งหมด 10 ตำบล
ดังนั้น ในวันประชุมเครือข่ายฯ ผู้วิจัยจึงแจ้งเรื่องนี้ให้ที่ประชุมทราบ (ความจริงส่วนใหญ่รู้เรื่องแล้วจากการบอกกันปากต่อปาก) ปรากฎว่าคณะกรรมการแต่ละกลุ่มแสดงความดีใจกันมาก แต่ละคนยิ้มแย้มแจ่มใส (พลอยทำให้ผู้วิจัยดีใจตามไปด้วย) ช้าก่อน อย่างเพิ่งดีใจไป เพราะ เราต้องมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากทางกระทรวงการคลังจะมาเป็นเจ้าภาพในการจัดเวทีเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ให้ในวันที่ 14 มกราคม 2549 (ต่อมา เปลี่ยนเป็นวันที่ 11 มกราคม 2549 เพราะวันที่ 14 เป็นวันเด็ก เกรงว่าคณะกรรมการและหน่วยงานราชการ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะไม่สะดวกในการเข้าร่วมเวที)
ส่วนแรกที่มีการปรึกษาหารือ คือ จะประชุมเตรียมงานในวันไหน คณะกรรมการต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจะมาร่วมประชุมเตรียมงานในวันที่ 7 มกราคม 2549 เวลา 09.00น. ที่โรงเรียนวัดนาก่วม
ประเด็นต่อมาก็คือ ในระหว่างนี้จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ผู้วิจัยซึ่งยอมรับแต่แรกแล้วว่าไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่จึงหันไปปรึกษาลุงคมสันซึ่งเป็นรองประธานและคุณสามารถได้มอบหมายงานในเรื่องนี้ให้อธิบายให้แก่คณะกรรมการฟังว่าเราจะต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ลุงคมสันบอกว่าเท่าที่ทราบก็คือ ขอให้ทุกกลุ่มเตรียมข้อมูลของตนเองให้เป็นปัจจุบันที่สุด ในส่วนนี้ผู้วิจัยได้เสริมว่า ข้อมูลที่แต่ละตำบลส่งไปนั้นเท่าที่จำได้เป็นข้อมูลถึงเดือนสิงหาคม 2548 ดังนั้น ขอให้ทุกกลุ่มเตรียมข้อมูลให้ถึงเดือนธันวาคม 2548 น่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นปัจจุบันที่สุด หากกลุ่มไหนที่บันทึกข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ไม่ทันก็ไม่เป็นอะไร แต่ข้อมูลที่เราทำด้วยมือเชื่อว่าทุกกลุ่มมีอยู่แล้ว ดังนั้น จึงขอให้ทุกกลุ่มนำข้อมูลมาในวันที่ 7 มกราคม 2549 ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้มาร่วมประชุมในวันนี้ ขอให้ทางเลขาฯ โทรศัพท์ไปแจ้งให้กลุ่มทราบด้วย ซึ่งทางเลขาได้รับเรื่องไว้เพื่อดำเนินการต่อไป (วันนี้ขอแค่นี้ก่อนนะคะ เพราะ ผู้วิจัยต้องไปตรวจข้อสอบต่อ ต้องส่งเกรดแล้วค่ะ เดี๋ยวจะเสียประวัติและถูกหักเงินเดือน ราตรีสวัสดิ์ค่ะ)