หน้าแรก
สมาชิก
นางสาว วิไลลักษณ์...
สมุด
lampang_network
งานวิจัยจุดประกาย...
นางสาว วิไลลักษณ์ อยู่สำราญ
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
งานวิจัยจุดประกายการพัฒนาองค์กร
วันเบาๆกับ KM
วันนี้มีทั้งความเครียดและความดีใจผสมกัน ความเครียดเกิดขึ้นตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงเย็น เพราะ วันนี้คณะกรรมการประกันคุณภาพภายในของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาตรวจเยี่ยมวิทยาลัยของเรา ผู้วิจัยในฐานะคณะกรรมการประกันคุณภาพของวิทยาลัยคนหนึ่งจึงรู้สึกเครียดมากเป็นพิเศษ กลัวว่าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แม้ว่าเมื่อคืนนี้จะได้มีโอกาสต้อนรับคณะผู้ตรวจเยี่ยมแล้วก็ตาม วันนี้จึงมามหาวิทยาลัยแต่เช้า เพื่อช่วยคณะกรรมการตรวจดูความเรียบร้อย เหตุการณ์ก่อนการตรวจเยี่ยมเป็นไปได้ด้วยดี แต่หลังจากคณบดีนำเสนอผลงานในรอบปีที่ผ่านมาจบ เหตุการณ์ก็เริ่มดุเดือดตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเที่ยง หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ในช่วงบ่ายซึ่งเป็นช่วงของการเสนอแนะจากผู้ตรวจเยี่ยม เหตุการณ์ก็ไม่มีอะไร แต่ด้วยความตึงเครียดจากช่วงเช้า ทำให้เหล่าคณะกรรมการประกันคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยถึงกับซึมไปเลย
แต่ในความเครียด เราก็มีความดีใจเกิดขึ้นเหมือนกัน เพราะ วันนี้ช่วงเย็นเราได้มีโอกาสกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เนื่องจากพรุ่งนี้ต้องมาอบรมนักวิจัยโครงการ KM กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไป 3 ทุ่มแล้ว เพราะ เครื่องบินล่าช้าเป็นชั่วโมง แถมพอมาถึงกรุงเทพฯแล้วรถยังติดมากด้วย พอกลับถึงบ้านก็รีบมาเปิดเครื่องเพื่อเขียน Blog เลย ดังนั้น วันนี้จึงขออนุญาตสัก 1 วันที่จะไม่เล่าเรื่องเครือข่ายฯ (อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะว่าเครียดเรื่องประกันคุณภาพมาก) แต่ยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องการจัดการความรู้อยู่ดี เพราะ เมื่อคืนนี้ (ก่อนออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อไปต้อนรับผู้ตรวจเยี่ยมจากกรุงเทพฯ) ได้มีโอกาสคุยกับอาจารย์ดร.ไพรัช (เป็นครั้งแรก เพราะ อาจารย์เพิ่งมาทำงานที่ศูนย์ลำปาง) เป็นความโชคดีของผู้วิจัยกับอาจารย์พิมพ์ฉัตรมาก เนื่องจาก พีดี (อาจารย์ดร.ไพรัช) ก็กำลังทำงานในเรื่อง KM อยู่พอดี (พี่ดีเป็นหนึ่งในทีมประเมินงานมหกรรมการจัดการความรู้ที่จัดขึ้นวันที่ 1-2 ธันวาคมด้วยค่ะ) ผู้วิจัยจึงฝากตัวเป็นลูกศิษย์ บอกกับพี่ดีว่าจะขอคำปรึกษาและขอรบกวนบ่อยๆ พี่ดีบอกว่าได้เลย พี่ดีบอกว่าจะเป็นวิทยาการให้ด้วย ระหว่างการคุยกันแกบอกว่าขอเวลา 1 นาที ผู้วิจัยก็คิดว่าสงสัยแกจะไปเข้าห้องน้ำหรือไปโทรศัพท์ (เพราะ ฟังเราคุยอยู่ตั้งนาน) ที่ไหนได้แกไปเอาหนังสือเกี่ยวกับ KM มาให้ 2 เล่ม ปรากฎว่าเล่มหนึ่งเรามีแล้ว (เพิ่งได้รับในวันที่มารายงานความก้าวหน้า) ส่วนอีกเล่มหนึ่งยังไม่เคยอ่าน จึงขอยืมพี่ดีไว้อ่าน พอมาวันนี้ระหว่างที่นั่งเครื่องกลับมากรุงเทพฯก็ปิ๊งไอเดียว่าเราควรเปลี่ยนวิกฤติจากการถูกวิจารณ์ (แหลก) ในเรื่องการประกันคุณภาพของวิทยาลัย (ในตอนเช้า) มาเป็นโอกาสในการพัฒนาวิทยาลัย
โดยนำ
KM มาใช้เป็นเครื่องมือ
ขอเล่าเรื่องที่คุยกับพี่ดีก่อนนะคะ ความจริงคุยกันตั้งเยอะ แต่ด้วยความที่ไม่ได้จด ประกอบกับผู้วิจัยเป็นโรคอัลไซเมอร์อย่างแรง จึงจำเนื้อหาไม่ค่อยได้ แต่ก็มีสิ่งที่ประทับใจจากการสนทนาและจำได้ดีก็คือ พี่ดีบอกว่าหมอประเวศเขียนไว้ในหนังสือว่า KM จะนำไปสู่ความปลดปล่อย ความมีความสุขของมนุษย์ ดังนั้น ถ้าผู้วิจัยทำงาน KM แล้วจะวัดว่าประสบความสำเร็จหรือไม่คงจะไม่ได้ดูในผลงานอย่างเดียว แต่ต้องดูด้วยว่าคนที่เข้ามาร่วมในกระบวนการรู้สึกว่าตนเองได้ปลดปล่อย รู้สึกว่ามีความสุขหรือไม่ อย่าดูที่ผลอย่างเดียว หากผลนั้นสำเร็จ แต่ผู้ทำและคนร่วมกระบวนการรู้สึกไม่มีความสุข ก็เป็นเรื่องน่าคิดว่าเราประสบความสำเร็จจากการนำ KM มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาหรือไม่ (ซึ่งพี่ดีใช้วลีว่า
“เสร็จแต่ไม่สำเร็จ”
) อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ การทำงานกับชุมชนอย่างมุ่งการบรรลุเป้าหมายอย่างเดียว KM นั้นมุ่งไปที่ความยั่งยืนด้วย ดังนั้น เมื่อจบโครงการแล้วอยากเห็นความยั่งยืนด้วย ก่อนจบการสนทนาเรื่อง KM ระหว่างที่พวกเราขึ้นรถเพื่อไปต้อนรับคณะผู้ตรวจเยี่ยม ผู้วิจัยบอกกับคนในรถว่า ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไร วันไหนไม่ได้เขียน Blog เหมือนรู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างหนึ่ง มีคนในรถแซวว่าจะคอยดูว่าผู้วิจัยจะมีความรู้สึกอย่างนี้ไปได้สักกี่วัน (คนแซวคงรู้ว่าผู้วิจัยเป็นคนเบื่อง่ายมากๆๆๆๆๆๆ) พี่ดีฟังแล้วหัวเราะก่อนที่จะบอกว่าการเขียนBlog ก็คือ การเขียนความรู้ การถ่ายทอดความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
แต่ระวังอย่าตกเป็นทาสของความรู้
เรื่องต่อไปคือ เรื่องการใช้ KM ในการพัฒนาองค์กร ความจริงเรื่องนี้ไม่มีอะไรมาก แต่อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าวันนี้ตอนเช้าวิทยาลัยของเราโดนวิจารณ์ซะน่วมไปเลย ความโดยสรุปก็คือ เราควรที่จะกลับมาดูในทุกส่วนของการจัดการเรียนการสอน การวิจัย การบริการวิชาการสู่สังคม การบำรุงศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของสถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งเรื่องการพัฒนาระบบประกันคุณภาพด้วย ความจริงพวกเรารู้เรื่องนี้กันอยู่แล้ว ก็พยายามหาทางแก้ไขอยู่ ดีขึ้นบ้าง ไม่ดีขึ้นบ้าง พอถูกวิจารณ์ก็เหมือนการสะกิดแผล (ในความคิดของผู้วิจัย) ทำให้ยิ่งเจ็บมากขึ้นไปใหญ่ แต่อย่ากระนั้นเลย เครียดไปก็ไม่มีประโยชน์ ระหว่างนั่งเครื่องกลับมา ผู้วิจัยก็นั่งคิดว่าเราในฐานะฟันเฟืองเล็กๆๆๆๆๆๆ (ที่ไม่มีอำนาจด้วย) จะช่วยองค์กรของเราให้ผ่านวิกฤติได้อย่างไร (ขอใช้คำว่าวิกฤติ เพราะ เพื่อนๆอาจารย์ที่ได้คุยกันเห็นว่าเป็นวิกฤติจริงๆ) ผู้วิจัยจึงลองสำรวจตัวเองดูว่าตัวเองนั้นพอที่จะมีความรู้ ความสามารถ ศักยภาพอะไรบ้าง นั่งคิดอยู่สักครู่ก็ปิ๊งไอเดียว่า ความจริงที่ศูนย์ลำปางก็มีอาจารย์ที่รู้เรื่อง KM อยู่อย่างน้อยตั้ง 3 คน (ผู้วิจัย , อาจารย์พิมพ์ , พี่ดี) พวกเราน่าจะเอา KM มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของวิทยาลัยน่าจะดี เพราะ หน่วยงานอื่นๆที่นำมาใช้แล้วประสบความสำเร็จก็มีตั้งเยอะ ประกอบกับในช่วงเช้า คณะผู้ตรวจเยี่ยมได้บอกว่าจากการไปตรวจเยี่ยมทุกหน่วยงานในมหาวิทยาลัยเห็นว่าแต่ละหน่วยงานมีจุดดี จุดด้อย มีความเก่ง ความชำนาญที่ต่างกัน ดังนั้น จะริเริ่มการพัฒนาด้านการประกันคุณภาพการศึกษาโดยนำหน่วยงานที่เก่งในเรื่องต่างๆมาบอกเทคนิค ให้ความรู้ แนะนำหน่วยงานอื่นๆ (ความจริงแล้วก็คือการนำ KM มาใช้ ในเรื่องหา Best practice มาให้ศึกษา) เมื่อคิดได้เช่นนี้ผู้วิจัยจึงตั้งใจไว้ว่าวันเสาร์นี้ซึ่งจะได้พบกับอาจารย์พิมพ์จะลองปรึกษาเรื่องนี้ดู ส่วนวันจันทร์น่าจะได้พบกับพี่ดีก็จะลองปรึกษาดู ถ้าทั้งสองเห็นด้วยก็จะไปเสนอให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เพื่อดำเนินการต่อไปทันที (KM นั้นต้องรีบทำ จะมัวแต่
จะ
อยู่ไม่ได้)
เขียนใน
GotoKnow
โดย
นางสาว วิไลลักษณ์ อยู่สำราญ
ใน
lampang_network
คำสำคัญ (Tags):
#uncategorized
หมายเลขบันทึก: 10548
เขียนเมื่อ 23 ธันวาคม 2005 22:44 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 16:30 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
นางสาว วิไลลักษณ์...
สมุด
lampang_network
งานวิจัยจุดประกาย...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี