จากชื่อบันทึกผมได้พูดถึงกระบวนทัศน์ที่เป็นกระแสหลักในการปฏิรูปการศึกษาของไทยนั้น ผมต้องการสื่อให้เห็นถึงมุมมองของคนๆหนึ่งที่กำลังเฝ้ามองดูวิถีทางในการก้าวย่างที่กึ่งไปข้างหน้าและกึ่งถอยหลัง จะก้าวไปข้างหน้าก็เหมือนกับเด็กที่วิ่งก้มหน้าก้มตาไปอย่างเดียว จะถอยหลังกลับก็หาทางกลับไม่เจอ แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ลองออกไปวิ่งแข่งกับเขาดู
กระบวนทัศน์ที่เป็นกระแสหลักที่ผมได้กล่าวมาในข้างต้นก็คือ กระบวนทัศน์แบบปฏิฐานนิยม(Positivism paradigm) เป็นกระบวนทัศน์เชิงวิทยาศาสตร์ เชื่อในสิ่งที่เห็นและพิสูจน์ได้ ทำให้เป็นที่ยอมรับอย่างมาก กระบวนทัศน์นี้ได้แพร่หลายเข้ามาในวงการศึกษาและมีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะมีความเป็นรูปธรรมสูง ปรัชญาทางการศึกษาที่ได้รับอิทธิพลจากกระบวนทัศน์มี 2 ปรัชญา ได้แก่
1. วัตถุนิยม(Materialism) หรือประจักษ์นิยม(Realism) ปรัชญาวัตถุนิยมหรือประจักษ์นิยมเป็นปรัชญาอีกสาขาหนึ่งที่มีต้นเค้าความคิดมาจากปรัชญาสมัยกรีก ผู้ที่เป็นปรัชญาเมธีที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น บิดาแห่งวัตถุนิยม คือ แอริสโตเติล(Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีกผุ้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง 384 – 322 ปี ก่อนคริสตกาล ปรัชญาวัตถุนิยม มีความเชื่อว่าโลกใบนี้เป็นโลกของวัตถุ(A World of Things) วัตถุย่อมอยู่เหนือจิตใจ ปรัชญาสาขานี้จึงให้ความสำคัญกับความสุขทางกายที่ได้จากวัตถุมากกว่าความสุขทางใจ ทัสนะของแอริสโตเติลในด้านการศึกษาแตกต่างจากพลาโต แอริสโตเติลเห็นว่าการใคร่ครวญหาเหตุผลด้วยจิตใจอย่างเดียวไม่เพียงพอจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงตามธรรมชาติด้วย เป็นการมองโลกทางด้านวัตถุและเป็นการเริ่มต้นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การจัดการศึกษาตามแนวปรัชญาสาขานี้มีลักษณะดังนี้ - ความเชื่อของครูตามปรัชญานี้ เชื่อว่า “การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับการมองเห็น” เพราะความรู้เกิดขึ้นจากสิ่งที่มองเห็น หรือเกิดจากสิ่งที่เป็นรูปธรรม รับรู้ได้โดยประสาทสัมผัสทางกาย คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ครูจะมุ่งสอนให้นักเรียนแสวงหาวัตถุ เช่น วิชาชีพต่างๆ สอนให้รู้จักทำมาหากินมากกว่าปลูกฝังคุณธรรมความดี ให้ความสำคัญกับวัตถุหรือการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าสิ่งอื่น เพราะเชื่อว่า ถ้าคนเรามีกินมีใช้ คงไม่มีใครคิดเป็นโจรเสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง - วิธีการสอน เน้นการเรียนรู้ที่เกิดจากประสาทสัมผัสทางกายและสิ่งที่เป็นรูปธรรม มากกว่านามธรรม วิธีการสอนจึงมักจะใช้วิธีการสาธิต(Demonstation) โดยใช้อุปกรณ์การสอนต่างๆ เช่น ของจริง รูปภาพ การศึกษานอกสถานที่ เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้โดยไม่ต้องท่องจำ จะให้ความสำคัญกับวิชาที่มุ่งพัฒนาความเจริญทางวัตถุมากกว่ามุ่งพัฒนาจิตใจ - ตัวผู้เรียน ครูยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของการสอนมากกว่ายึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการสอน ครูจะเป็นผู้แสดง นักเรียนเป็นผู้ดู ใช้การบอกเล่า บรรยายหรือการให้นักเรียนท่องจำจะมีน้อยลงแต่จะใช้การสาธิตหรือทดลองให้ดู มีอุปกรณ์ของจริงหรือรูปภาพให้นักเรียนเห็นแต่ผู้สาธิตหรือทดลองเป็นครูมิใช่นักเรียน ความสามารถของครูในการสาธิต การอธิบายและการใช้อุปกรณ์การสอนมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นอย่างมาก กล่าวโดยสรุป คือ การเรียนการสอนตามแนววัตถุนิยม เน้นความรู้ที่ได้มาจากประสาทสัมผัสทางกายโดยเฉพาะการดูเป็นหลัก |
2. ประสบการณ์นิยม(Experimentalism) ปฏิบัตินิยม(Pragmatism) หรืออุปกรณนิยม(Instrumentalism) ปรัชญาประสบการณ์นิยมเป็นปรัชญาที่แพร่หลายทั่วไปในวงการปรัชญาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา นับว่าเป็นผลผลิตทางความคิดที่มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาสมัยใหม่ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ปรัชญาเมธีที่เป็นผุ้บุกเบิกปรัชญานี้มี 2 ท่าน คือ เจมส์(William James) และดิวอี้(John Dewey) ปรัชญาสาขานี้มีความเชื่อว่า โลกใบนี้ คือ โลกของประสบการณ์(A World of Experience) ชีวิตคือการเดินทางเพื่อแสวงหาประสบการณ์ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งมีค่าใดมีค่าเท่ากับการแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ความสุขของคนเรา คือ การได้พบกับประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆที่ท้าทายความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง ทัศนะของดิวอี้เห็นว่า มนุษย์จะรับความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ จากประสบการณ์เท่านั้น การเรียนรู้ที่จะก่อให้เกิดประสบการณ์ที่เหมาะสม คือ การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป้นวิธีการแก้ปัญหาอย่างมีขั้นตอน โดยผู้เรียนจะต้องมีการทำกิจกรรมต่างๆ ประกอบด้วย การจัดการศึกษาตามแนวปรัชญาสาขานี้มีลักษณะดังนี้ - ความเชื่อของครูตามปรัชญานี้ เชื่อว่า “การเรียนรู้ต้องควบคู่ประสบการณ์” เพราะวิชาการต่างๆ สอนกันได้ แต่ประสบการณ์สอนกันได้ ดังนั้น ครูต้องจัดกิจกรรมเพื่อให้เด้กเกิดประสบการณ์ เพราะเด็กเป็นผู้อ่อนต่อโลกหรืออ่อนประสบการณ์ ความรู้ที่แท้จริงเกิดจากประสบการณ์ตรงหรือการลงมือกระทำจริงๆ มิใช่เกิดจากการฟัง การดู หรือการนึกคิดอย่างในปรัชญาจิตนิยมหรือวัตถุนิยม คนที่มีประสบการณ์มากจึงฉลาดมาก สามารถเอาตัวรอดและอยู่เป็นสุขในสังคม - การเรียนการสอน มีลักษณะสำคัญ คือ เน้นการเรียนโดยวิธีการแก้ปัญหา(Problem solving) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง(Learner Centered Learning) และเรียนรู้ในขณะที่นำความรู้นั้นๆ มาใช้(Learning While Using Knowledge) จัดกิจกรรมการทดลองค้นคว้า ฝึกแก้ไขปัญหาด้วยตนเองและการลงมือปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดประสบการณ์ตรง เช่น การสอนด้วยวิธีการแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์ โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ มากกว่าการท่องจำเนื้อหาวิชา เพราะเนื้อหาวิชาอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และเนื้อหาวิชาต่างๆนั้น มีมากมายเกินกว่าที่จะจดจำรายละเอียดได้หมด ขอเพียงผู้เรียนรู้วิธีการแสวงหาความรู้ก็พอ กล่าวคือ สอนให้รู้จักวิธีการตกปลา มิใช่นำปลาไปให้หรือเน้นกระบวนการแสวงหาความรู้(Process) มากกว่าตัวความรู้(Product) - ตัวผู้เรียน การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงประสบการณ์เก่ากับประสบการณ์ใหม่ของผู้เรียน นักเรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ โดยมีครูเป็นผู้ชี้แนะเท่าที่จำเป็น ครูจะไม่พูดหรือสอนอะไรมาก แต่จะจัดกิจกรรมต่างๆ หรือสร้างสถานการณ์จำลองแล้วให้นักเรียนใช้ประสบการณ์เดิมมาแก้ปัญหา เพื่อการค้นพบประสบการณ์ใหม่ที่จะเป้นคำตอบของปัญหานั้นๆ ครูที่เก่งที่สุด คือ ครูที่สอน(พูด) น้อยที่สุดแต่นักเรียนเรียนรู้ได้น้อยที่สุด กล่าวโดยสรุป คือ การสอนตามแนวประสบการณ์นิยมจะเน้นการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง(Learning by Doing) เรียนรู้ด้วยตนเองจากประสบการณ์จริง หรือจากประสบการณ์ตรง(Direct Experience) |
สวัสดีครับ พี่ปริวัตร
"Learning by Doing" & "Direct Experience"
เรียนรู้จากการฝึกปฏิบัติจริง และเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง.. ผมชอบครับ ความท้าทายของการเรียนรู้ที่ต้องดิ๊กกิ้ง ..หรือเจาะ ๆ ขุด ๆ เรียนรู้จากประสบการณ์และใช้งานจริง สร้างบทสรุปการเรียนรู้ ... ไว้จะเข้ามาอ่านและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใหม่น่ะครับ ... ได้อ่านเวปพี่แล้วน่าสนใจมากครับ ไว้มีโอกาสขอคำปรึกษาเรื่องประเด็นทางการศึกษาน่ะครับ..
Keep Walking
แหมเรียกผมซะแก่เลย ยินดีมากครับที่มีคนอ่าน เป็นกำลังใจให้ผมเขียนตอนต่อๆไป แต่ผมมีคำถามหนึ่งที่สงสัยว่าทำไมคุณสุภัทร ถึงลาออกจาก ป.เอก KM ซะล่ะครับ ทีแรกผมกะว่าจบโทแล้วจะต่อเอก KM นะเนี่ย...แต่ปรากฏว่ามีคนลาออกหลายคนเลย อยากรู้แต้ๆ
สวัสดีครับ
:) สำหรับเหตุผลการลาออกที่ KM คงต้องคุยกันหลังไมค์น่ะครับ ..อิอิ แบบว่าไม่อยากให้กระทบกระเทือนผู้หนึ่งผู้ใดน่ะครับ ... แต่อย่างไรก็ตาม หากเราตั้งใจที่เดินไปตามความฝันแล้วน่ะครับ เราก็ต้องเดินทางต่อ อุปสรรคที่พบก็ต้องแก้ไขกันต่อไป แม้ว่าจะลำบากเพียงใด ขอให้ใจเราสู้ต่อ เราก็จะก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคงครับ แต่ถ้าอยากเรียนที่นั่นจริง ๆ ผมก็ยินดีให้คำแนะนำน่ะครับ ผมมีหนังสือ Text ทาง KM ที่อัพเดต ของกูรู KM เกือบทุกเล่มน่ะครับ
แต่หากปีหน้าสนใจมาเรียน R&D ด้วยกันจะดีใจมากเลยครับ สำหรับตอนนี้ก็ให้กำลังใจสำหรับการเขียนวิทยานิพนธ์ให้สำเร็จอย่างตั้งใจน่ะครับ....
ติดต่อผมทางเมล์หรือ Add MSN ผมได้ที่ [email protected]
Mobile: 0816716799
หรือว่าง ๆ แวะมาหาที่แถว ๆ คณะก็ได้น่ะครับ วนเวียนแถว ๆ ห้องเรียน ห้องสมุด ในละแวกนี้นี่เอง..
ยินดีครับ :)