เฮ่อ เฮิก เฮิก ..แฮก แฮก ... “สวัสดีครับหัวหน้า มามาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ...” “เอ่ย สวัสดีครับพี่ติ๊มมาพร้อมกันเลยเหรอครับ...”
“ไม่สูบแล้วดีกว่า”................................................................
“ทีคนอื่นเกรงใจกัน ลูกเมียเนี่ยไม่มี"
...........................................................................
“บ้านต้องปลอดบุหรี่... จริงๆ ก็ทุกที่” .........................................................................
นัยโฆษณาชิ้นนี้ทำให้เราเข้าใจได้ก็ด้วย ภาพประทับที่เรามีอยู่ก่อนแล้วระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างคนที่บ้านกับคนที่ทำงาน อันเป็นความสัมพันธ์ต่างบริบท ที่ชายหนุ่มในภาพโฆษณานั้นปฏิบัติต่อบุคคลที่มีตำแหน่งต่างกัน ในบริบทที่แตกต่างกัน คือระหว่างหัวหน้า และคุณติ๋ม ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นบุคคลในที่ทำงาน กับลูกและเมียโดยมีถ้อยคำของผู้บรรยายสำทับในตอนท้ายว่า “บ้านต้องปลอดบุหรี่... จริงๆ ก็ทุกที่” อันแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องการเน้นย้ำในบริบทอันแตกต่าง ความแตกต่างของความสัมพันธ์ทางสังคมในบริบทระหว่างที่บ้านกับที่ทำงานนั้น แน่นอนว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยทั่วไปแล้วในที่ทำงานนั้นมีกฎเกณฑ์ของสถานที่ และมีแบบแผนการปฏิบัติของตำแหน่งที่แตกต่างกัน จึงไม่น่าแปลกเลยว่า ชายหนุ่มจะเกรงใจผู้มีตำแหน่งงานสูงกว่าเมื่อหันมาเผชิญหน้าด้วยขณะสูบบุหรี่ แต่ที่น่าแปลกก็คือ การใช้หน้ากากที่สวมไว้บนหน้าลูกและภรรยาของชายหนุ่มผู้สูบบุหรี่ ในทางหนึ่งอาจอุปมาให้เห็นว่าบุคคลที่นั่งข้างๆ ของผู้สูบบุหรี่นั้นไม่ว่าจะเป็นคนที่บ้านย่อมได้รับผลกระทบไม่ต่างไปจากบุคคลในที่ทำงาน แต่ในอีกทางหนึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงการ “สวมหน้ากาก” เป็นหน้ากากที่เคร่งขรึม ตึงเครียด และไม่พอใจ ความเข้มขรึมตึงเครียด ไม่พอใจนี้ บุคคลผู้อยู่เบื้องหลังหน้ากากอันได้แก่ ลูกและเมีย ของชายหนุ่มผู้สูบบุหรี่ก็มีท่าทีเช่นเดียวกับหน้ากากที่สวมอยู่แต่ไม่เป็นผลต่อการปรามห้าม คือลูกเมียนั้นไม่มีอิทธิพลต่อการห้ามปราม หากแต่การ ดับบุหรี่ เป็นผลอันเนื่องมาจากหน้ากากของบุคคลในที่ทำงาน สิ่งที่โฆษณาชิ้นนี้พยายามทำ คือการสลายเส้นกั้นพรมแดนระหว่างบ้านและที่ทำงาน ความนวลเนียนของการสร้างก็คือการจับวางบริบทของที่ทำงานมาวางไว้ที่ห้องนั่งเล่นในบ้าน เป็นภาพที่ซ้อนทับกันระหว่างหน้ากากและใบหน้าจริง ระหว่างหัวหน้างาน กับลูกและภรรยา ภาพซ้อนกันนี้ฝ่ายที่ได้ชัยชนะคือฝ่ายที่ทำงาน ทำให้ต้องดับบุหรี่ บริบทของที่ทำงานจึงเป็นบริบทอันถูกเชิดชูเป็นตัวแบบของความสัมพันธ์ แบบเกรงอกเกรงใจ มีมารยาท (การไหว้และรีบดับบุหรี่) ทั้งยังสำทับด้วยประโยคที่ว่า “ทีคนอื่นเกรงใจกัน ลูกเมียเนี่ยไม่มี” จึงคล้ายกับว่าจงใจยกย่องความสัมพันธ์ในที่ทำงานให้เป็นแบบอย่างอันดี แบบอย่างอันดีในที่นี้ คือการไม่ก่อมลภาวะ หยิบยื่นโรคร้าย (มีโฆษณาเกี่ยวกับบุหรี่หลายชิ้นที่อ้างว่าคนไม่สูบบุหรี่ที่นั่งในห้องเดียวกัน ได้รับควันบุหรี่มากกว่าผู้สูบหลายเท่า ซึ่งผู้เขียนไม่สามารถเข้าใจได้กับการอธิบายแบบนี้) ซึ่งอาจตีความเลยไปถึงการทำร้ายชีวิต ความรุนแรงของการสูบบุหรี่จึงเบียดทลายภาพ การแก่งแย่งชิงดี ความเกรงใจแบบประจบประแจง ความกลัวเพราะสามารถให้คุณให้โทษได้ ความเครียด และความเป็นทางการ อันเป็นภาพลบทั้งสิ้นเมื่อมาเทียบกับบริบทของการนั่งดูทีวีกับลูกเมียในห้องนั่งเล่นที่บ้าน ภรรยากลายเป็น “หัวหน้า” และลูก กลายเป็น “คุณติ๋ม” บริบทของความสัมพันธ์แบบนี้คือบริบทของครอบครัวในสังคมเมือง เป็นครอบครัวที่ถอยห่างความสัมพันธ์เดิม แบบพ่อ แม่ ลูก แต่ใช้คำเรียกแทนกันด้วย คุณแล้วตามด้วยชื่อ สามี ภรรยา หรือแม้แต่คุณ...(ลูก) การติดต่อกันกลายเป็นการติดต่อกันแบบสถานภาพตามตำแหน่งในที่ทำงาน ใช้ความเกรงอกเกรงใจกันด้วยตำแหน่ง ไม่ใช่ความเอื้ออาทร ปลอบโยน อบอุ่น รักใคร่ กันในแบบที่สามีพึงป้องปกภรรยาและลูก ภาพโฆษณานี้จึงสะท้อนให้เห็นเส้นกั้นกลางระหว่าง ที่ทำงาน/บ้าน ครอบครัว/ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ที่กำลังพร่าเลือนลงไปในสังคมปัจจุบัน และผู้คนปฏิบัติต่อกันด้วยกฎเกณฑ์ทางสังคมแบบเป็นทางการ ด้วยการอ้างสิทธิ และด้วยตำแหน่ง สถานะ มากกว่าบทบาทและความสัมพันธ์ทางสายเลือด การตอกย้ำ และสร้างภาพโฆษณาการห้ามสูบบุหรี่ด้วยการทำลายเส้นกั้น ระหว่างความเป็นทางการ กฏเกณฑ์ กับความรักความผูกพันธ์ และความเอื้ออาทรลง ด้วยการทำให้การสูบบุหรี่เป็นสิ่งเลวร้าย เป็นความเลวร้ายที่ตัดข้ามบริบทของพื้นที่ และยอมแลกบริบทที่แตกต่างเพื่อให้ปลอดพ้นจากควันบุหรี่ ทั้งที่บริบทดังว่านั้น คนไทยสอนนักสอนหนาว่า อย่านำเรื่องงาน เรื่องภายนอกเข้ามาในครอบครัว และไม่ควรนำเรื่องภายในครอบครัวไปบอกเล่าให้คนภายนอกรู้ (“ความในอย่านำออกความนอกอย่านำเข้า) เป็นบริบทที่ในความเป็นจริงแล้วมันเลวร้ายการควันบุหรี่หลายเท่านัก ยิ่งได้ยินการเผยแพร่ สปอตโฆษณารณรงค์ไม่สูบบุหรี่ทางวิทยุอยู่ในขณะนี้ เป็นเสียงเด็กพูดว่า “โตขึ้นหนูจะเป็นมะเร็ง” “โตขึ้นหนูจะเป็นมะเร็ง” (เพราะพ่อหนูสูบบุหรี่) คนสูบบุหรี่กำลังจะกลายเป็นอาชญากรจากภาพที่โฆษณาของ สสส. สร้างขึ้นมากไปทุกที
แต่ผที่ตามมาแบบไม่ตั้งใจจากการใช้งบประมาณอะไรแบบนี้ก็คือ ภาพความเสื่อมถอยของเส้นกั้นพรมแดนระหว่างคนแปลกหน้ากับครอบครัว โดยไม่แน่ใจมั้นคุ้มค่าหรือไม่กับจำนวนคนสูบบุหรี่ที่อยากจะให้มันลดลง
จำนวนและอัตราร้อยละของผู้สูบบุหรี่เป็นประจำ
ปีสำรวจ |
จำนวนผู้สูบบุหรี่เป็นประจำ (พันคน) | อัตราร้อยละต่อประชากร | |||||
รวม | ชาย | หญิง | |||||
2519 | 8,629.5 | 30.1 | 54.7 | 6.1 | |||
2524 | 9,759.2 | 27.8 | 51.2 | 4.4 | |||
2529 | 10,377.0 | 26.4 | 48.8 | 4.1 | |||
2531 | 10,109.9 | 25.0 | 46.6 | 3.5 | |||
2534 | 11,402.1 | 26.3 | 48.9 | 3.8 | |||
2536 | 10,406.2 | 22.8 | 43.2 | 2.5 | |||
2539 | 11,254.3 | 23.5 | 44.6 | 2.5 | |||
2542 | 10,230.6 | 20.5 | 38.9 | 2.4 | |||
2544 | 10,551.2 | 20.6 | 39.3 | 2.2 | |||
2547 | 9,631.9 | 17.9 | 34.1 | 1.9 | |||
2549 | 9,541.1 | 17.5 | 34.0 | 1.9 |
ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ
หากพิจารณาจากตารางสถิติจะเห็นว่า ในช่วงที่มีการณรงค์โดยการโหมโฆษณาห้ามสูบบุหรี่ หรือแม้แต่การห้ามโฆษณษาบุหรี่ คือปี 2547-2549 นั้นตัวเลขคนสูบบุหรี่ลดลงเพียงร้อยละ 0.4 แต่หากพิจารณาย้อนหลังไปนับแต่ปี 2519 จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลงโดยลำดับอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าการลดลงของจำนวนผู้สูบบุหรี่เป็นผลจากการรณรงค์ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ในรูปแบบที่ทำกันอยู่เวลานี้
ไม่มีความเห็น