ศีล แปลว่าปกติหรือเย็นเป็นปกติ แปลว่าปกติ คือเป็นไปตามปกติ ของกาย วาจา ปราศจากเจตนาที่คิดคด แปลว่าเย็นนั้น คือทำให้ผู้มีศีลอยู่ในความร่มเย็น ไม่มีภัย ไม่มีเวรกับผู้ใด เพราะฉะนั้นศีลจึงเป็นการรักษากายวาจาให้เป็นปกติ เรียบร้อย ศีลทางกายเช่น ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่เสพเครื่องดองของมึนเมา ศีลทางวาจา เช่น การละเว้นจากการพูดเท็จ,ส่อเสียด เป็นต้น จึงเห็นได้ว่าศีลนั้นปราบปรามกิเลสอย่างหยาบ ที่ล่วงทางกาย และทางวาจา ศีลมีหลายประเภทแบ่งอย่างละเอียด เช่น ศีลคฤหัสถ์ สำหรับอุบาสก,อุบาสิกา เช่น ศีลห้า (เบญจศีล) ศีลสามเณร สามเณรี เช่น ศีล 10 (ทศศีล) ศีลสิกขมานา ศีลภิกษุณี (210 ข้อ) และศีลของภิกษุ (227 ข้อ) ถ้าแบ่งศีลอย่างย่อก็แบ่งเป็นสองประเภทคือ ศีลคฤหัสถ์ และศีลบรรพชิต
ศีล 5 ได้แก่
ศีล 8
คือ อัฎฐศีล ถ้าสมาทานรักษาพิเศษในวันอุโบสถ์ เรียกว่า อุโปสถศีล ได้แก่
ศีล 10 หรือทศศีล ได้แก่
ข้อ 1-8 เหมือนกับในศีลแปด เพิ่มอีกสองข้อคือ
ศีลจะขาดเพราะใจอย่างเดียวไม่ได้ เช่นนึกฆ่าสัตว์ เป็นต้น ศีลยังไม่ขาด เพราะยังไม่ได้ประกอบด้วยกายวาจา แต่ถ้าฆ่าด้วยกายเราหรือใช้เขาฆ่าด้วยวาจาเรา อย่างนี้ศีลขาดเป็นความผิดบาป
ไม่มีความเห็น