จากบันทึก http://gotoknow.org/blog/kongkiet/177265 มีเรื่องเล่าจากผู้ประชุมหลายเรื่อง เช่น
เรื่องเล่าจากโรงพยาบาลลาดยาว โดยคุณสิริรัตน์ ทองห่อ
คุณสิริรัตน์ เป็นทันตาภิบาลอยู่ที่โรงพยาบาลลาดยาว คุณสิ เล่าว่าทันตาภิบาลที่โรงพยาบาลลาดยาวแบ่งโรงเรียนรับผิดชอบเฉลี่ยคนละเท่า ๆ กัน โดยโรงเรียนที่ได้รางวัลกิจกรรมทันตสุขภาพคือโรงเรียนสังฆวิถี (ได้รางวัลในปี 2548) และโรงเรียนบ้านทุ่งแม่น้ำน้อย (ได้รางวัลในปี 2549) ทั้ง 2 แห่งได้รางวัลหมวดกิจกรรมการเรียนรู้ โดย
- โรงเรียนที่ได้รางวัลเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีข้อดีตรงที่บริหารจัดการได้ง่าย
- ในปีแรกจะมีปัญหาขัดข้องเนื่องจากมีเวลาในการจัดกิจกรรมน้อย เพราะศูนย์แจ้งจังหวัดในเดือนกุมพาพันธ์ ซึ่งกว่าจะประชาสัมพันธ์ โรงเรียนก็ปิดเทอมแล้ว ดังนั้นกว่าโรงเรียนจะเตรียมตัวก็เป็นเดือนพฤษภาคม (เปิดเทอม) ซึ่งจังหวัดจะออกประกวดเดือนกรกฎาคม ดังนั้นโรงเรียนมีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น แต่ปัญหานี้ในปีต่อมาจะไม่ค่อยมี เพราะโรงเรียนรู้และได้เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว
- วิธีการประชาสัมพันธ์ในปีแรกคือการส่งจดหมายไปโรงเรียนทั้งหมด (83 แห่ง) ซึ่งได้ผลตอบรับกลับมาว่ามีโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการ 12 แห่ง ซึ่งได้ออกประเมินในระดับ CUP ก่อน ที่จังหวัดจะออกประเมิน
- ในปีต่อมาได้ประชาสัมพันธ์โดยจดหมายเช่นเดิม แต่ได้นำโรงเรียนที่ได้รางวัลในปีแรกคือโรงเรียนสังฆวิถี มานำเสนอกิจกรรมในที่ประชุมผู้อำนวยการโรงเรียนด้วย ซึ่งสามารถสร้างแรงจูงใจให้โรงเรียนอื่น ๆ สนใจเข้าร่วมโครงการมากยิ่งขึ้น
- นอกจากนั้นได้มีการประสานงานกับ ผอ. สพฐ. ซึ่งได้มีการทำงานกันมาก่อนแล้ว ซึ่ง ผอ. ก็เข้าใจ และเป็นแรงจูงใจให้โรงเรียนได้ทำกิจกรรมมากยิ่งขึ้นด้วย
- ในส่วนของโรงเรียนที่ได้รางวัลนอกจากเป็นการโชว์ผลงานแล้ว ก็มานำเสนอก็เป็นผลงานวิชาการส่วนของครูด้วย
- ดังนั้นในปีที่ 3 การทำงานในโรงเรียนจึงง่ายมากยิ่งขึ้น
- คุณสิ ได้สรุปแนวทางการจัดกิจกรรมในโรงเรียนดังนี้
· ความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ การพบปะ เห็นหน้าพูดคุยกันบ่อย ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้ทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น
· ต้องรู้ข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียนเป็นอย่างดี ซึ่งการที่จะรู้ข้อมูลพื้นฐานจะต้องเข้าไปในโรงเรียนบ่อย ๆ
· หาบุคคลสำคัญ ที่จะเป็นผู้ทำให้งานสำเร็จ ซึ่งอาจเป็น ผอ. หรือครูอนามัย
· พยายามให้ข้อมูลแก่โรงเรียนตามข้อกำหนดกิจกรรม บางกิจกรรมอาจจะต้องเข้าไปสอนและทำเป็นตัวอย่าง เช่นการวิเคราะห์ตัวชี้วัด
· การประสานงานเรื่องการให้บริการเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งโรงเรียนต้องอาศัยความร่วมมือจากสถานีอนามัย หรือโรงพยาบาลในการออกบริการ เช่น การรักษาทันตกรรม การเคลือบร่องฟัน
· เด็กต้องมีความรู้ สามารถประยุกต์ สร้างนวตกรรม ซึ่งถ้าเด็กผ่านหลักสูตรการจัดทำโครงงานในโครงการเด็กไทยทำได้ จะทำให้เด็กมีความสามารถในส่วนนี้
· ในส่วนของเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำกิจกรรม โรงเรียนมีความพร้อมในส่วนนี้อยู่แล้ว อาจต้องเข้าไปจัดเป็นหมวดหมู่ในดูง่ายมากยิ่งขึ้น
· ที่สำคัญก็คือการเข้าไปจัดกิจกรรม จะเป็นการเข้าไปเรียนรู้พร้อมกับครู และนักเรียน ไม่ใช่เข้าไปสอน
· สุดท้ายกิจกรรมทุกอย่างไม่ว่าจะเกี่ยวกับเราเองหรือไม่ เมื่อครูเอยปาก เราไม่ควรปฎิเสธ ควรรับไว้ก่อน แล้วค่อยไปถามผู้รู้มาตอบภายหลัง