ลมปราณแห่งปัญญา


หากวันนึงมนุษย์สามารถถ่ายทอดความรู้ได้เยี่ยงเดียวกับการถ่ายลมปราณจริง แล้วคุณค่าของมนุษย์จะอยู่ที่อะไร


แอ๊ะเอาบทความของคุณวินทร์ เลียววาริณมาฝากค่ะ


นิยายจีนกำลังภายในหลายร้อยเรื่องมีฉากที่อาจารย์ซึ่งเป็นจอมยุทธฝีมือเลิศล้ำถ่ายทอดวิชาให้พระเอกอย่างหมดสิ้น

ที่ว่า 'ถ่ายทอดอย่างหมดสิ้น' หมายความตามคำทุกประการ นั่นคือ อาจารย์ประกบสองฝ่ามือบนแผ่นหลังของพระเอก ขับเคลื่อนลมปราณที่สะสมมาชั่วชีวิตผ่านเส้นชีพจรเข้าไปรวมตัวในร่างของพระเอก ขณะถ่ายทอดมักปรากฏควันสีขาวลอยกรุ่นขึ้นจางๆ จากกบาลของอาจารย์ สีหน้าของอาจารย์จะค่อยๆ ซีดลง ขณะที่ใบหน้าของพระเอกเปล่งประกายขึ้น

ฝ่ายอาจารย์เมื่อถ่ายทอดลมปราณแล้วก็มักผมขาวโพลน เนื้อหนังเหี่ยวย่น และสิ้นลมปราณ ในบางเรื่องอาจารย์อาจจะเอ่ยคำอำลาสั่งเสียให้พระเอกไปกอบกู้ยุทธจักรต่อไป ในบางเรื่องที่อาจารย์เหนื่อยเกินไป ก็อาจตายไปเลยโดยไม่ต้องพูดมาก ปล่อยให้พระเอกลุยเดี่ยวต่อไป

ฝ่ายพระเอกจะรู้สึกสดชื่นเหมือนกินยาบ้าเข้าไปสักร้อยเม็ด สารอะดรีนาลีนหลั่งไหลพล่านทั่วร่าง เมื่อสะบัดฝ่ามือ หินผาที่อยู่ไกลออกไปหลายเชียะก็แตกร้าว กระโดดเบาๆ ก็ลอยตัวถึงยอดไม้โดยไม่ต้องออกแรง สะกิดเท้าเบาๆ ก็วิ่งไปร้อยสิบลี้โดยไม่เหนื่อยหอบ เพราะพลังภายในแบบ ‘สะสมทรัพย์’ ของตนรวมดอกเบี้ยพลังหกสิบปีของอาจารย์เข้าไปด้วย

ช่างเป็นการถ่ายทอดพลังและลมปราณที่ง่ายดายราวกับถ่ายข้อมูลจากฮาร์ดไดรฟ์ของคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง

หลายคนอยากเจออาจารย์ใจดีอย่างนี้บ้าง คงประหยัดเวลาไม่ต้องเข้าฝึกปรือให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจ

เมื่อผมเป็นเด็ก ทุกครั้งที่ต้องเตรียมสอบ มักนึกอยากให้โลกนี้มีเครื่องถ่ายทอดความรู้โดยไม่ต้องเรียน หากการนอนหนุนหนังสือแล้วความรู้สามารถซึมเข้าหัว ร้านขายหมอนในโลกนี้คงเลิกกิจการไปหมดสิ้น



ในโลกของนิยายวิทยาศาสตร์ ความคิดเรื่องการถ่ายทอดความรู้นี้ไม่ใช่เรื่องหลอกเด็ก วันหนึ่งในอนาคตอันไกล เมื่อเราเข้าใจการทำงานของสมองอย่างดีแล้ว การถ่ายทอดความรู้จากสมองหนึ่งไปยังอีกสมองหนึ่งอาจไม่ใช่นิยายอีกต่อไป เพราะการทำงานของสมองที่แท้ก็คือการทำงานของสารเคมีและไฟฟ้า

หากเราสามารถรับวิชาความรู้ ความสามารถจากคนอื่นได้ด้วยวิธีนี้ คงสนุกพิลึก เราคงไม่ต้องเข้าโรงเรียน ไม่ต้องกวดวิชา ไม่ต้องเรียนหนังสือนาน 10-20 ปี และแข่งขันกันจะเป็นจะตายอย่างสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนใน พ.ศ. นี้

แต่เรายังอยู่ในโลกของปัจจุบัน ในโลกของความจริง โลกที่ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ฟรีๆ

ชีวิตเป็นการพัฒนาทีละขั้น ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เราต้องทำงานหนัก ฝึกฝนทีละขั้นๆ จากไม่เก่งเป็นพอใช้ได้ ไปจนถึงเก่ง และเชี่ยวชาญในที่สุด

ไม่มีทางลัด

(พิมพ์ใหม่อีกครั้ง) - ไม่มีทางลัด

อย่างไรก็ตามถึงจะสามารถถ่ายทอดข้อมูลข้ามสมองได้ จะรู้ได้อย่างไรว่าคุณรับมาแต่ส่วนที่ดี?



ความจริงแล้ว ความรู้ (knowledge) เป็นเรื่องหนึ่ง ปัญญา (wisdom) เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ไม่เช่นนั้นสุนทรภู่คงไม่เขียนกวีคลาสสิกที่ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด"

จบปริญญาหลายใบมิได้หมายความว่าจะมีปัญญาโดยอัตโนมัติ

พูดง่ายๆ ก็คือ ถึงจะถ่ายความรู้ข้ามสมองได้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ในชีวิตจริงอย่างไร เพราะความรู้อย่างเดียวไม่มีประโยชน์หากไม่สามารถแปลงให้เป็นปัญญาได้

ชีวิตมิได้มีแต่ด้านที่ทำงานหาเงินโดยใช้ความรู้เป็นเครื่องมือ ยังมีด้านของการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วย

คนเรียนจบสูงๆ ไม่แน่ว่าจะมีความสุขกว่าคนที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนเลย

เพราะลมปราณแห่งปัญญาไม่สามารถถ่ายทอดได้ แต่เพาะพรวนพอกพูนได้

และเพราะลมปราณแห่งปัญญาไม่ได้เกิดจากสมองอย่างเดียว มันมาจากหัวใจ

อ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างคะ ถ้าวันนึงเราสามารถถ่ายทอดความรู้กันได้เช่นเดียวกับการถ่ายทอดลมปราณในหนังจีน

(อาจารย์คงตกงาน เป็นสิ่งแรก!!!)

หมายเลขบันทึก: 103588เขียนเมื่อ 15 มิถุนายน 2007 14:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 14:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
นี่ถ้ามีจริง คงไม่เป็นอาจารย์ที่จะถ่ายทอด แต่จะขอเข้าแถวเป็นลูกศิษย์รอการถ่ายทอดดีกว่า ว่าแต่ที่นั่นมีหนังสือกำลังภายในให้เช่าด้วยหรือ..จ้าบ..มาก

บางอย่างต่อให้ได้มาง่ายฟรีๆ ก็ไม่เอา  รู้สึกเหมือนโดนทำลายอัตตา :-P 

  • ตามมาอ่านช้าไปหน่อ
  • ท่านอาจารย์ sprite
  • เปลี่ยนเป็นเด็กไปเลย
  • ดีใจที่ตกงาน ต่อไปผู้เรียนคงเรียนได้
  • บางครั้งสอนหนังสือถ้าเด็กไม่พร้อม
  • สิ่งที่เราสอน เด็กอาจไม่ได้เรียนรู้ก็ได้ครับ
  • ขอบคุณครับ
  • มีหนังสือไทยให้อ่านด้วยดีจัง

สวัสดีครับ PAjanJi 

ขออนุญาตินำข้อความบางตอนไปรวมในรวมตะกอนครับ ขอบคุณมากครับ  http://gotoknow.org/blog/mrschuai/102160

  • โอโห
  • อาจารย์ น้อง Ji
  • ดังอีกแล้ว
  • คุณ
    P
  • เอาไปรวมไว้แล้ว

สวัสดีค่ะ ถูกต้องเลยในข้อเขียนที่ว่า

ความจริงแล้ว ความรู้ (knowledge) เป็นเรื่องหนึ่ง ปัญญา (wisdom) เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ไม่เช่นนั้นสุนทรภู่คงไม่เขียนกวีคลาสสิกที่ว่า "ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด"

จบปริญญาหลายใบมิได้หมายความว่าจะมีปัญญาโดยอัตโนมัติ

พูดง่ายๆ ก็คือ ถึงจะถ่ายความรู้ข้ามสมองได้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์ในชีวิตจริงอย่างไร เพราะความรู้อย่างเดียวไม่มีประโยชน์หากไม่สามารถแปลงให้เป็นปัญญาได้

ได้กับตัวเองหลายครั้งค่ะ

บางทีมีลูกน้อง จบ MBA ไม่รู้จบได้อย่างไร ไม่เห็นจะมีปัญญาอะไรแค่ไหน ต้องสอนงานแทบทุกอย่าง

บางคน จบจาก U ดีๆ โดนซองขาวไปก็มี

ลูกชาย มีเพื่อนชาวอเมริกัน ทำงานที่ Hong Kong ด้วยกัน มีอยู่คราวหนึ่ง ลูกไปอังกฤษ เพื่อนโทรไปบอกว่าถูกซองขาว

เขาสงสารเพื่อน รีบโทรไปหาBoss ว่า เขาก็ทำงานดีนะ ไม่น่าให้ออก

Boss ตอบ  สะอึกเลย

That's your perspective, not mine!!

มุมมองคนละมุม ส่วนใหญ่ คนที่ take it easy จะทำงานไม่ค่อยเก่ง แม้จะจบจากที่ดีๆค่ะ

 

--- ขอบคุณ คุณสิทธิรักษ์มากๆ นะคะ ที่ชื่นชมแอ๊ะเป็น "ดาวรุ่งจรัสแสงดวงใหม่"

--- แอ๊ะคงไม่เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ว่าก็จะ took it as a complement นะคะ

--- ถ้าทางจะดังอย่างที่ อ.ขจิตว่าจริงๆ ละเนี่ย

--- แอ๊ะเห็นด้วยเช่นกันค่ะว่าคนที่จบจากที่ดีๆ ใช่ว่าจะเป็นคนเก่ง

--- คุณ sasinanda มีข้อแนะนำในการฝึกฝนให้เราเป็นคนเก่งมั้ยค่ะ

--- แอ๊ะรู้สึกกังวลค่ะ เนื่องจากว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้ทำงานจริงๆ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาก็แค่เรียนกับเรียน แล้วการตัดสินใจมาเป็นอาจารย์ แอ๊ะก็ยังคงต้องเรียนต่อไป

--- เกิดสงสัยว่าจริงๆ แล้วเราอาจจะเป็นคนที่เรียนได้ดี แต่ไม่ใช่คนเก่งอะไรเลย

สวัสดีค่ะ

จริงๆแล้ว คงแนะนำอะไรไม่ได้มากค่ะ เพราะตัวเองไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรค่ะ

แต่ที่ทำมาตลอดคือ ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย ให้ดีที่สุดค่ะ ขอมอบดอกไม้แรกแย้มให้เป็นกำลังใจค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท